โลกกำลังเผชิญหน้ากับภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกในวงกว้าง ราคาสินค้าและบริการพุ่งสูงขึ้น ผู้บริโภคต้องแบกรับภาระค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ภาคธุรกิจต้องเผชิญกับต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น ธุรกิจรายย่อย หรือ SMEs ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อมากที่สุด ด้วยข้อจำกัดด้านเงินทุน ขนาดธุรกิจ และอำนาจต่อรองทางการตลาด ทำให้ธุรกิจรายย่อยต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดท่ามกลางพายุเงินเฟ้อที่โหมกระหน่ำ
บทความนี้ SPOTLIGHT จะพาคุณไปสำรวจผลกระทบของเงินเฟ้อต่อธุรกิจรายย่อยในสหรัฐอเมริกา ผ่านกรณีศึกษาของร้านช็อกโกแลตเล็กๆ แห่งหนึ่งในรัฐนิวเจอร์ซีย์ สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทาย การปรับตัวและความหวังของธุรกิจรายย่อยในการฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้
ในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมากกำลังเผชิญกับความยากลำบากจากผลกระทบของภาวะเงินเฟ้อ ร้าน Enjou Chocolat ร้านจำหน่ายช็อกโกแลตในเมืองมอร์ริสทาวน์ รัฐนิวเจอร์ซีย์ เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากราคาวัตถุดิบหลักอย่างโกโก้ และค่าใช้จ่ายด้านแรงงาน ส่งผลให้ทางร้านซึ่งมีพนักงานไม่ถึง 24 คน จำเป็นต้องปรับราคาสินค้าขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ในรอบปีที่ผ่านมา
Mark Chinsky หุ้นส่วนของร้าน Enjou Chocolat ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNN ถึงผลกระทบจากการปรับขึ้นราคา โดยระบุว่า ลูกค้าจำนวนมากแสดงความไม่พอใจ ยกตัวอย่างเช่น ลูกค้ารายหนึ่งซึ่งซื้อช็อกโกแลตแบบถุงครึ่งปอนด์ในราคา 10.99 ดอลลาร์สหรัฐฯ มาเป็นเวลานาน แสดงอาการไม่พอใจอย่างรุนแรงเมื่อพบว่าราคาสินค้าเพิ่มขึ้นอีก 4 ดอลลาร์สหรัฐฯ “ลูกค้าท่านนั้นกล่าวว่า 'นี่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค ฉันจะไม่กลับมาซื้อสินค้าที่ร้านนี้อีก' ซึ่งทำให้เราเสียใจเป็นอย่างยิ่ง” Chinsky กล่าว
แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกาจะปรับตัวลดลงจากระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี (ปี 2022) แต่ประชาชนยังคงได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ สะท้อนให้เห็นจากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดยโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับชัยชนะเหนือคามาลา แฮร์ริส อย่างเด็ดขาด ซึ่งปัจจัยด้านเศรษฐกิจถือเป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
ไม่ต่างจากผู้บริโภคทั่วไป ธุรกิจขนาดเล็กก็ได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และยังคงมีความกังวลใจเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ผลสำรวจรายเดือนจากสหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติ (National Federation of Independent Business: NFIB) สะท้อนให้เห็นว่า ธุรกิจขนาดเล็กมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้นมากกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ เนื่องจากมีกำไรขั้นต้นที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับบริษัทขนาดยักษ์ใหญ่อย่าง Walmart หรือ Amazon บ่อยครั้งที่พวกเขาถูกบีบให้ต้องผลักภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังผู้บริโภคผ่านการขึ้นราคาสินค้า
การปรับขึ้นราคาสินค้าในช่วงเวลานี้ อาจส่งผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อธุรกิจ เนื่องจากใกล้ถึงช่วงเทศกาลวันหยุด ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ธุรกิจรายย่อยส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกาจะมียอดขายสูงสุด ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคก็มีความตื่นตัวและพร้อมที่จะต่อต้านการขึ้นราคาสินค้ามากขึ้นกว่าเดิม
ดัชนีธุรกิจขนาดเล็ก (Small Business Index) เปิดเผยว่า 8 ใน 10 ของธุรกิจค้าปลีกรายย่อย พึ่งพายอดขายในช่วงเทศกาลวันหยุดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายกำไรประจำปี ผลสำรวจล่าสุดของ NFIB ซึ่งเก็บข้อมูลจากธุรกิจขนาดเล็กประมาณ 1,200 แห่ง พบว่า 26% ของธุรกิจมีแผนที่จะปรับขึ้นราคาสินค้าในเดือนตุลาคม
“ลูกค้าคิดว่าเรากำลังฉวยโอกาสขึ้นราคา ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่ คำถามคือ จะมีลูกค้าเพียงพอที่จะซื้อสินค้าในราคาที่สูงขึ้น เพื่อชดเชยลูกค้าบางส่วนที่ปฏิเสธการซื้อหรือไม่” Chinsky กล่าว
หลังจากที่อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ พุ่งสูงสุดในรอบ 4 ทศวรรษ เมื่อเดือนมิถุนายน 2565 ประชาชนชาวอเมริกันเริ่มแสดงความไม่พอใจต่อราคาสินค้าที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ล่าสุดจากรายงาน Beige Book ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งรวบรวมข้อมูลจากการสำรวจภาคธุรกิจทั่วประเทศ ระบุว่า ลูกค้าจำนวนมากเริ่มตั้งคำถามถึงการปรับขึ้นราคาสินค้าตั้งแต่ปี 2565 รายงาน Beige Book ฉบับล่าสุดยังคงสะท้อนให้เห็นถึงกระแสต่อต้านจากผู้บริโภค
“ด้วยความไม่พอใจต่อราคาสินค้าที่สูงขึ้น ผู้บริโภคเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น หันมาบริโภคเนื้อไก่แทนเนื้อวัว เลือกรับประทานอาหารในร้านอาหารแบบบริการด่วนแทนร้านอาหารที่ต้องนั่งรับประทาน เลือกซื้อสินค้าแบรนด์ทั่วไปแทนแบรนด์เนม” Thomas Barkin ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาริชมอนด์ กล่าวในสุนทรพจน์เมื่อวันอังคาร “ผู้กำหนดราคาสินค้าเริ่มตระหนักว่า การขึ้นราคาสินค้าในขณะนี้มีข้อจำกัด เนื่องจากต้องคำนึงถึงปฏิกิริยาของผู้บริโภค”
ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ เช่น Walmart และ Target ประกาศลดราคาสินค้าครั้งใหญ่ในปีนี้ เพื่อดึงดูดลูกค้าที่เบื่อหน่ายกับภาวะเงินเฟ้อ โดย Target ระบุเมื่อเดือนที่แล้วว่า จะลดราคาสินค้ามากกว่า 2,000 รายการในช่วงเทศกาลวันหยุด
แต่สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก การลดราคาสินค้าไม่ใช่เรื่องง่าย โดยนาย John Waldmann ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Homebase ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ด้านเงินเดือนสำหรับธุรกิจขนาดเล็กกว่า 100,000 แห่ง กล่าวว่า ปัญหาที่ร้าน Enjou Chocolat กำลังเผชิญ เป็นสิ่งที่เขาได้ยินอยู่ตลอดเวลา
“ธุรกิจขนาดเล็กมักลังเลที่จะขึ้นราคาสินค้า ดังนั้น เมื่อพวกเขาตัดสินใจขึ้นราคา นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น” Waldmann กล่าว “พวกเขายังคงได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อในทุกด้าน” นับตั้งแต่ภาวะเงินเฟ้อเริ่มรุนแรงขึ้นในปี 2564 เงินเฟ้อกลายเป็นปัญหาอันดับต้น ๆ ที่ธุรกิจขนาดเล็กกังวล จากผลสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจรายเดือนของ NFIB “23% ของเจ้าของธุรกิจรายงานว่า เงินเฟ้อเป็นปัญหาสำคัญที่สุดในการดำเนินธุรกิจ (ต้นทุนวัตถุดิบและแรงงานที่สูงขึ้น) ซึ่งเท่ากับเดือนกันยายน และยังคงเป็นปัญหาอันดับหนึ่ง” NFIB ระบุในรายงานฉบับล่าสุด
แม้ผู้บริโภคชาวอเมริกันจะเริ่มแสดงท่าทีต่อต้านราคาสินค้าที่พุ่งสูงขึ้น แต่ผลสำรวจจาก Conference Board ชี้ว่า ยังมีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะยังคงจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลวันหยุด โดยคาดการณ์ว่า ผู้บริโภคจะใช้จ่ายเฉลี่ย 1,063 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 35,000 บาท) เพิ่มขึ้น 7.9% จากปี 2566 อย่างไรก็ตาม เมื่อปรับตามอัตราเงินเฟ้อแล้ว ตัวเลขดังกล่าวยังต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโรคระบาด ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคสูงอายุและผู้มีรายได้น้อย มีแนวโน้มที่จะลดการใช้จ่ายในช่วงเทศกาล
ความท้าทายของธุรกิจรายย่อยคือ การรักษายอดขายท่ามกลางต้นทุนที่สูงขึ้น และการแข่งขันกับธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถดึงดูดลูกค้าด้วยการลดราคาสินค้าครั้งใหญ่ อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจจาก Constant Contact เผยให้เห็นสัญญาณเชิงบวก โดย 78% ของผู้บริโภคกว่า 3,000 คนที่ตอบแบบสอบถาม ระบุว่ามีแผนที่จะอุดหนุนธุรกิจรายย่อยที่ไม่เคยซื้อมาก่อน สะท้อนให้เห็นถึงกระแสสนับสนุนธุรกิจในท้องถิ่น
นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดยังบ่งชี้ว่า ผู้บริโภคชาวอเมริกันยังคงจับจ่ายใช้สอยอย่างต่อเนื่อง โดยยอดค้าปลีกในเดือนตุลาคมปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.4% และตัวเลขในเดือนกันยายนได้รับการปรับเพิ่มขึ้นเป็น 0.8%
แม้ภาวะเงินเฟ้อจะเป็นปัญหาสำคัญที่ธุรกิจรายย่อยต้องเผชิญ แต่ Bill Dunkelberg หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ NFIB แสดงความเชื่อมั่นว่า ธุรกิจรายย่อยยังคงมีความหวังที่จะเติบโตในช่วงเทศกาลวันหยุดนี้
ภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นทั่วโลกส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจรายย่อย ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางทางเศรษฐกิจสูง การปรับตัวของผู้บริโภค การแข่งขันทางธุรกิจที่ทวีความรุนแรง และต้นทุนการดำเนินงานที่พุ่งสูงขึ้น ล้วนเป็นความท้าทายที่ธุรกิจรายย่อยต้องเผชิญและหาทางรับมือ
กรณีศึกษาของร้าน Enjou Chocolat สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงประจักษ์ที่ธุรกิจรายย่อยกำลังเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนวัตถุดิบและแรงงานที่ปรับตัวสูงขึ้น การปรับขึ้นราคาสินค้าที่อาจส่งผลกระทบต่อความพึงพอใจของลูกค้า และการแข่งขันกับธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพในการลดราคาสินค้าเพื่อดึงดูดลูกค้า
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ยังคงปรากฏสัญญาณเชิงบวกที่ช่วยสร้างความหวังให้กับธุรกิจรายย่อย เช่น แนวโน้มการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลวันหยุด และกระแสความตื่นตัวในสังคมที่สนับสนุนการอุดหนุนธุรกิจในท้องถิ่น
ประเด็นสำคัญคือ ธุรกิจรายย่อยจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์ วิเคราะห์สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ มองหาโอกาสในการพัฒนา และสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า ขณะเดียวกัน ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนธุรกิจรายย่อยอย่างเหมาะสม เพื่อให้สามารถประคับประคองธุรกิจและก้าวผ่านวิกฤตการณ์นี้ไปได้
ภาวะเงินเฟ้อเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาว การแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อจึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งในมิติของนโยบายการเงินและการคลัง รวมถึงมาตรการทางเศรษฐกิจอื่นๆ เพื่อสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน
ที่มา CNN