ภาคการท่องเที่ยวฟื้นดีไม่หยุด ครึ่งปีแรก (ต้นปีถึงวันที่ 15 พ.ค.) พบนักท่องเที่ยวเข้าไทยแล้ว 9.47 ล้านคน สร้างรายได้ที่เกิดจากการใช้จ่ายในการท่องเที่ยวแล้ว 3.91 แสนล้านบาท โดยส่วนมากเป็นนักท่องเที่ยวจากเอเชียตะวันออก (จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น) เอเชียใต้ และอาเซียน
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้สนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ปรับปรุงการดำเนินงานด้านต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ภาคท่องเที่ยว รักษาแรงส่งการเติบโตให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยเฉพาะในตลาดหลักอย่าง ‘นักท่องเที่ยวจีน’ ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประเมินว่าปี 66 น่าจะเดินทางมาไทยได้ 5.3 ล้านคน หรือหากมีปัจจัยเสริมอื่นๆ ก็อาจจะถึง 7 ล้านคน
โดยจากข้อมูลของ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) ในช่วง ต.ค. 65 - เม.ย.66 หรือ 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2566 มีเที่ยวบินจากจีนเข้ามาไทยแล้ว 12,805 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 98% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า จากการที่จีนมีนโยบายเปิดประเทศตั้งแต่ช่วงต้นปี 2566 ทำให้สายการบินจากประเทศจีนมีความต้องการเปิดทำการบินและเพิ่มความถี่ในการบินมากขึ้น
ทั้งนี้ ในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ บวท. คาดว่าเที่ยวบินจากประเทศจีนจะยังเพิ่มขึ้นอีก โดยคาดว่าเดือนพ.ค. จะมีเที่ยวบินจีน 5,330 เที่ยวบิน, มิ.ย. 6,090 เที่ยวบิน, ก.ค. 7,150 เที่ยวบิน, ส.ค. 7,460 เที่ยวบิน และก.ย. 7,340 เที่ยวบิน ส่งผลให้ตลอดปีงบประมาณ 66 (ต.ค.65 - ก.ย. 66) มีเที่ยวบินจากจีนมายังประเทศไทย 46,175 เที่ยวบิน
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า แม้ปริมาณเที่ยวจีนที่คาดการณ์ไว้นี้ยังคงน้อยกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปี 62 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดโควิด19 อยู่ 66% แต่หน่วยงานเกี่ยวข้อง เช่น วิทยุการบินฯ ก็ได้เตรียมการเพื่อรองรับ เพื่อให้ไม่เกิดความติดขัดต่อเที่ยวบินที่จะเพิ่มขึ้น โดยได้เข้าร่วมในคณะกรรมการจัดสรรตารางการบินร่วมกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย พิจารณาจัดสรรตารางการบินให้สอดคล้องกับความสามารถในการรองรับ และร่วมมืออันดีกับหน่วยงานผู้ให้บริการการเดินอากาศของจีนเพื่อบริหารจัดการจราจรทางอากาศระหว่างทั้งสองประเทศมีสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ทางด้านกระทรวงคมนาคมก็ได้ติดตามการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนผู้ให้บริการภาคพื้นชั่วคราว ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การบริการภาคพื้นเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สามารถรองรับจำนวนผู้โดยสารที่กำลังเพิ่มขึ้น ในขณะที่บมจ. ท่าอากาศยานไทย (AOT) อยู่ระหว่างดำเนินการคัดเลือกผู้ได้รับสิทธิให้ประกอบการให้บริการภาคพื้นในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รายที่ 3 ให้เป็นไปตามแผนงาน จากปัจจุบันที่มีผู้ให้บริการภาคพื้นอยู่ 2 ราย เพื่อลดปัญหาการขนถ่ายกระเป๋าสัมภาระล่าช้าต่อไป