Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
เทียบระบบบำนาญไทย-ไอซ์แลนด์ หลังเปลี่ยนเกณฑ์รับเบี้ยผู้สูงอายุ
โดย : อมรินทร์ทีวีออนไลน์

เทียบระบบบำนาญไทย-ไอซ์แลนด์ หลังเปลี่ยนเกณฑ์รับเบี้ยผู้สูงอายุ

17 ส.ค. 66
08:10 น.
|
2.3K
แชร์

ในวันที่ 12 ส.ค. ที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตของคนไทยทุกคน นั่นก็คือการเพิ่มเกณฑ์รับเบี้ยผู้สูงอายุ จากประชาชนที่อายุเกิน 60 ปีขึ้นไปที่ไม่ได้รับผลประโยชน์หรือสวัสดิการจากรัฐในทางอื่น มาเป็นประชาชนอายุ 60 ปี ที่นอกจากจะไม่มีสวัสดิการรัฐอย่างอื่นแล้วยังต้องไม่มีเงินพอยังชีพในชีวิตประจำวันด้วย

การเปลี่ยนแปลงนี้เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก เพราะบางคนมองว่าการเพิ่มเกณฑ์นี้จะเพิ่มความยุ่งยากในการพิสูจน์รายงานตน ทำให้อาจมีการตกหล่น อีกทั้งยังเพิ่มค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบสถานะ ทั้งค่าแรงคน ค่าเอกสาร ซึ่งอาจจะพอๆ กับเงินที่รัฐบาลจะประหยัดไปจากการใช้เกณฑ์นี้

นอกจากนี้ ยังมีผู้วิจารณ์อีกด้วยว่า เงินยังชีพที่ให้ในแต่ละเดือนนั้นก็น้อยจนไม่พอใช้อยู่แล้ว ถ้าไปตัดสวัสดิการนี้ออกอีก ผู้สูงอายุและครอบครัวผู้ดูแลจะเสียแหล่งรายได้อีกทางที่ช่วยแบ่งเบาความลำบากได้ และเป็นการทอดทิ้งผู้สูงอายุหลายคนที่ล้วนเคยเป็นหนุ่มสาว ทำงานเพื่อสร้างรายได้และภาษีให้กับประเทศมาก่อน

ในวันนี้ ทีม SPOTLIGHT จึงอยากชวนทุกคนมาดูกันว่าเมื่อเทียบกับประเทศที่ได้ขึ้นชื่อว่ามีระบบบำนาญและสวัสดิการผู้สูงอายุที่ดีที่สุดในโลกแล้ว ระบบสวัสดิการผู้สูงอายุของไทยอยู่ตรงไหน และมีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไรบ้าง

 

‘ไอซ์แลนด์’ ครองตำแหน่งประเทศน่าเกษียณที่สุดในโลก ‘ไทย’ รั้งท้าย

จากการจัดอันดับ Global Pension Index ปี 2020 ของ Mercer บริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการทรัพย์สินจากสหรัฐฯ ประเทศที่มีระบบบำนาญผู้สูงอายุที่ดีที่สุดในโลกคือ ‘ไอซ์แลนด์’ ประเทศเกาะเล็กๆ ในมหาสมุทรแอตแลนติก ในขณะที่ ‘ไทย’ รั้งท้ายที่อันดับที่ 44 ซึ่งเป็นอันดับสุดท้าย แพ้ให้กับทุกประเทศเอเชียอื่นที่อยู่ในอันดับ ไม่ว่าจะเป็น มาเลเซีย อินโดนีเซีย หรือฟิลิปปินส์ที่มีขนาดและระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจพอๆ กับไทย

โดยจากรายงาน ไทยได้คะแนนย่ำแย่หมดในทั้ง 3 เกณฑ์ ที่ Mercer นำมาประเมินระบบบำนาญผู้สูงอายุในแต่ละประเทศ ไม่ว่าจะเป็น

  1. “ความเพียงพอ” เพราะเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุของไทยมีปริมาณไม่พอให้ผู้สูงอายุที่ไม่มีรายได้ประจำพอใช้ชีวิตในแต่ละเดือนได้ คือเพียง 600-1,000 บาทต่อเดือน ไม่เหมือนประเทศอื่นที่ส่วนมากจะจัดเงินช่วยเหลือให้เหมาะสมกับระดับค่าครองชีพ ทำให้สามารถอยู่ได้แม้ไม่ได้ทำงานหรือมีรายได้ทางอื่น
  2. “ความยั่งยืน” เพราะในตอนนี้ไทยยังไม่มีศักยภาพมากพอในการคงระบบบำนาญและช่วยเหลือผู้สูงอายุให้มีไปอย่างยั่งยืนในอนาคตได้ เพราะรัฐบาลไทยยังไม่มีความสามารถในการหารายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจ และเก็บภาษีได้เพียงพอต่อการสร้างระบบบำนาญที่ยั่งยืน อีกทั้งยังมีหนี้สาธารณะที่ค่อนข้างสูงจากการขาดวินัยด้านการเงิน ทำให้มีสิทธิสูงที่รัฐบาลจะเลือกตัดสวัสดิการประชาชนเพื่อประหยัดเงิน ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
  3. “คุณภาพ และความซื่อสัตย์สุจริตขององค์กรที่ทำหน้าที่บริหารระบบบำนาญ” ซึ่งอาจสะท้อนว่าหน่วยงานของไทยที่รับผิดชอบด้านนี้ยังทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพมากพอ และไม่มีกฎหมายที่คุ้มครองผลประโยชน์ให้กับผู้สูงอายุในไทยอย่างเต็มที่

 

แต่ไอซ์แลนด์ทำอย่างไรล่ะ จึงขึ้นมาเป็นที่ 1 ด้านระบบบำนาญผู้สูงอายุได้?

ในปัจจุบัน ระบบบำนาญและสวัสดิการผู้สูงอายุของไอซ์แลนด์มี 3 ขาด้วยกันคือ

  1. “เงินประกันสังคม” ซึ่งจัดโดยรัฐบาลและสนับสนุนโดยเงินภาษี
  2. “เงินบำนาญจากการประกอบอาชีพ” ซึ่งจัดโดยบริษัทนายจ้างควบคู่กับสหภาพแรงงาน เป็นการจัดการเงินบำนาญเลี้ยงชีพที่คล้ายกับเงินทุนสำรองเลี้ยงชีพของไทย ที่จะให้นายจ้างหักเงินออมจากเงินเดือนไปแล้วนายจ้างเติมให้บางส่วนเป็นเงินก้อนภายหลัง
  3. "เงินเพื่อการเกษียณส่วนตัว" อย่างเช่น เงินจากการลงทุน หรือเงินออมต่างๆ

โดยตามกฎหมาย ผู้ที่มีสิทธิจะรับเงินประกันสังคมหลังเกษียณของไอซ์แลนด์ต้องเป็น 

  1. ผู้ที่มีอายุเกิน 67 ปีขึ้นไป และได้ทำงานหรืออยู่อาศัยในไอซ์แลนด์เกิน 3 ปีขึ้นไป ในระหว่างที่มีอายุ 16-67 ปี โดยผู้ที่จะได้เงินเต็มจำนวนคือผู้ที่ทำงานในไอซ์แลนด์เกิน 40 ปีขึ้นไป
  2. ผู้ที่มีรายรับรายเดือนไม่สูงกว่าระดับที่ทำหนด

เงินที่รัฐบาลให้กับผู้รับประโยชน์จะถูกคิดจากระดับรายได้เฉลี่ยของประชาชนในประเทศ ควบคู่ไปกับปัจจัยทางเศรษฐกิจอื่นๆ ทำให้ตัวเลขไม่เหมือนกันในแต่ละปี อย่างเช่นในปี 2020 เงินประกันสังคมเต็มจำนวนคือ 3,081,468 โครนาไอซ์แลนด์ หรือราว 820,000 บาทต่อปี หริอ 68,000 บาทต่อเดือน ซึ่งคิดเป็น 33% ของรายได้เฉลี่ยของไอซ์แลนด์ในปีนั้น 

นอกจากนี้ ยังมีเงินช่วยเหลือสำหรับความจำเป็นอย่างอื่นอีก เช่น ค่าที่อยู่อาศัย ค่ายานพาหนะสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการขยับตัวและเดินทาง ค่ายา ค่าพยาบาลรักษาที่บ้าน หรือค่าไฟสำหรับผู้ที่มีความจำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ

อย่างไรก็ตาม จากเกณฑ์จะเห็นได้ว่าไอซ์แลนด์มีความคล้ายกับระบบของไทยในปัจจุบันอย่างหนึ่งคือการจำกัดไม่ให้เงินกับผู้ที่มีรายได้เกินระดับที่กำหนด เพราะไอซ์แลนด์จะให้เงินประกันสังคมน้อยลง หรือไม่ให้เลยในกรณีที่ผู้สูงอายุคนนั้นมีรายรับประจำสูงพอๆ กับเงินช่วยเหลือ เพราะถือว่ามีความสามารถในการเลี้ยงชีพพอสมควรแล้ว

นี่ทำให้เมื่อเทียบกับประเทศนอร์ดิกหรือยุโรปอื่นๆ ที่ส่วนมากให้เงินผู้สูงอายุแบบไม่มีจำกัดระดับรายได้ การกระจายรายได้ในหมู่ผู้สูงอายุของไอซ์แลนด์จะมีความเท่าเทียมมากกว่า

ซึ่งทั้งหมดนี้ก็อยู่ได้ด้วยการเก็บภาษีรายได้ในระดับสูง คือถึง 31.45-46.25% ของรายได้ในแต่ละเดือน ซึ่งรายได้ที่ว่านี้ก็รวมไปถึงเงินบำนาญที่ผู้สูงอายุได้รับในแต่ละเดือนด้วย ทำให้ไอซ์แลนด์สามารถเก็บเงินเข้ามาหมุนเวียนเบิกจ่ายให้กับผู้สูงอายุทุกคนได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

909653

รัฐไทยควรหาทางเพิ่มรายได้ สร้างระบบบำนาญที่เพียงพอและยั่งยืน

จากข้อมูลทั้งหมดจะเห็นได้ว่า การเพิ่มเกณฑ์ให้รัฐบาลจ่ายเงินยังชีพสำหรับเฉพาะผู้ที่มีรายได้ไม่พอยังชีพอย่างไม่ใช่เรื่องเลวร้ายนัก ถ้าผู้สูงอายุทุกคนในไทยที่ไม่ได้รับเงินดังกล่าวมีรายได้ในระดับที่พอยังชีพจริง และเงินเบี้ยยังชีพนั้นเพียงพอให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตในสภาพเศรษฐกิจในขณะนั้นจริงๆ 

รัฐบาลไทยควรจะเพิ่มวินัยในการใช้จ่ายงบประมาณและการกู้หนี้ รวมไปถึงพัฒนาระบบเก็บภาษีให้มีประสิทธิภาพและลดความเหลื่อมล้ำมากขึ้น อาจจะทั้งด้วยการเพิ่มอัตราการเก็บภาษีกับผู้ที่มีรายได้สูง และลดการใช้จ่ายงบประมาณกับสิ่งที่ไม่จำเป็นหรือไม่มีความเร่งด่วนสำหรับประชาชน เช่นการซื้ออาวุธ รวมไปถึงพัฒนาเศรษฐกิจและเพิ่มค่าแรงให้ประชาชนยังสามารถรักษาคุณภาพชีวิตไว้ได้ถึงแม้จะต้องเสียภาษีมากขึ้น และการสนับสนุนให้มีการเกิดเพื่อสร้างประชาชนมาทำงานสร้างผลิตผลในระบบเศรษฐกิจและเสียภาษีอุ้มชูผู้สูงอายุที่นับวันจะมีปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ

นี่ทำให้การพัฒนาระบบบำนาญของประเทศต้องเป็นการพัฒนาไปอย่างรอบด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ และสังคม เพราะเป็นระบบที่ต้องใช้ความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและประชาชน และถ้าหากภาครัฐไม่สามารถสร้างระบบบำนาญที่มีเงินหมุนเวียนอย่างประสิทธิภาพได้ ในอนาคตผู้สูงอายุไทยก็จะถูกทอดทิ้ง และกลายเป็นภาระทางการเงินของลูกหลานที่ต้องดิ้นรนในระบบเศรษฐกิจที่ย่ำแย่เช่นเดียวกัน

 

อ้างอิง: Mercer, OECD, Island.is

แชร์
เทียบระบบบำนาญไทย-ไอซ์แลนด์ หลังเปลี่ยนเกณฑ์รับเบี้ยผู้สูงอายุ