ข่าวเศรษฐกิจ

รัฐบาลจีนฉีดยาแรง กระตุ้นแบงก์ลงขัน 15.7 ล้านล้านบาท ช่วยอุ้มอสังหาฯ

24 พ.ย. 66
รัฐบาลจีนฉีดยาแรง กระตุ้นแบงก์ลงขัน 15.7 ล้านล้านบาท ช่วยอุ้มอสังหาฯ

รัฐบาลจีนเตรียมฉีดยาแรง กระตุ้นให้ธนาคารในจีนให้เงินกู้แบบไม่มีค้ำประกันกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ 50 แห่ง เพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่อง อัดฉีดเงินทุนให้บริษัทพัฒนาอสังหาฯ สามารถก่อสร้างโครงการที่คั่งค้างอยู่เพื่อส่งมอบให้แล้วเสร็จ เพื่อดึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และกระตุ้นการซื้อที่อยู่อาศัย

ในวันที่ 23 พ.ย. สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ผู้นำระดับสูงในรัฐบาลจีนกำลังเตรียมกระตุ้นให้ธนาคารใหญ่ในประเทศให้เงินทุนสนับสนุนเพื่ออุ้มภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงเจอปัญหาสภาพคล่องอย่างต่อเนื่อง โดยในขณะนี้รัฐบาลกำลังทำรายชื่อบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จำนวน 50 รายที่มีสิทธิ์ได้รับความช่วยเหลือนี้ ซึ่งรวมไปถึง Country Garden Holdings Co. และ Sino-Ocean Group ด้วย

การให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุนในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้เงินทุนแก่บริษัทอสังหาฯ ที่มีปัญหาหนี้และสภาพคล่องจนไม่สามารถก่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัยของตัวเองเพื่อส่งมอบให้ผู้ซื้อตามกำหนดได้ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจีนยังไม่กลับมามากที่สุด

ในปัจจุบัน ปัญหาความเชื่อมั่นนี้ทำให้บริษัทอสังหาฯ ไม่มีรายได้จากการขายที่อยู่อาศัย ซึ่งทำให้บริษัทไม่มีเงินทุนที่จะก่อสร้างโครงการที่ขายไปแล้วได้ และเมื่อไม่สามารถก่อสร้างต่อได้ ปัญหาความเชื่อมั่นก็ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก ทำให้ปัญหาสภาพคล่องนี้เป็นวงจรที่กระทบกันไม่มีที่สิ้นสุด และถ้าหากรัฐบาลไม่เข้ามาแทรกแซง ภาคอสังหาฯ ที่ยังเป็นอุตสาหกรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนอยู่ก็จะซบเซาลงไปเรื่อยๆ

โดยจากการคาดการณ์ ธนาคารของจีนจะต้องใช้เงินรวมกันมากถึง 4.46 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 15.7 ล้านล้านบาท เพื่อรักษาเสถียรภาพของภาคส่วนอสังหาฯ และทำให้บริษัทอสังหาฯ ที่มีการก่อสร้างคั่งค้างอยู่สามารถก่อสร้างโครงการให้แล้วเสร็จพร้อมส่งมอบให้ผู้ซื้อได้ทั้งหมด

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการออกมาเป็นจำนวนมากแล้วเพื่อกระตุ้นให้มีการซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้น ทั้งการลดดอกเบี้ยผ่อนบ้าน ลดเงินดาวน์ และการให้ส่วนลดภาษี แต่ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะยังมีปัจจัยด้านความเชื่อมั่นดังกล่าวกดดันอยู่

คาดเป็นเงินกู้แบบไม่มีค้ำประกันสำหรับการดำเนินงานรายวัน

แหล่งข่าวให้สัมภาษณ์กับบลูมเบิร์กว่า เงินกู้ให้ความช่วยเหลือดังกล่าวจะเป็นเงินกู้ระยะสั้นแบบไม่ต้องสินทรัพย์มาค้ำประกัน เพื่อให้บริษัทอสังหาฯ สามารถนำเงินก้อนนี้มาใช้ในการดำเนินธุรกิจประจำวัน เพิ่มสภาพคล่องให้บริษัทนำเงินทุนที่มีอยู่แล้วไปจ่ายหนี้ได้สะดวก

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ของรัฐยังกำลังวางแผนสร้างกลไกให้ธนาคารหลายแห่งสามารถปล่อยกู้และให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่บริษัทหนึ่งร่วมกันได้ เพื่อเป็นการเฉลี่ยไม่ให้ภาระการช่วยเหลือตกอยู่กับธนาคารใดธนาคารหนึ่ง

ทั้งนี้ เนื่องจากปัจจุบันธนาคารส่วนมากในจีนต่างก็ได้มีการปล่อยสินเชื่อให้แก่บริษัทอสังหาฯ เหล่านี้เป็นจำนวนมากแล้ว รัฐบาลอาจต้องออกมาตรการมาสร้างแรงจูงใจให้ธนาคารเหล่านี้ยอมให้เงินกู้แก่บริษัทอสังหาฯ อีก เช่น อาจทำด้วยการยกเว้นกฎไม่เอาเรื่องธนาคารหากเงินกู้ก้อนใหม่ขาดชำระ หรือแม้แต่การออกกฎบังคับอย่างเป็นทางการ เพราะปัจจุบันธนาคารของจีนต่างก็ต้องรับภาระหนักในการอุ้มเศรษฐกิจจีน และไม่อยากจะปล่อยสินเชื่อเพิ่มกันอยู่แล้ว

ภาคธนาคารจีนเริ่มแย่ ‘จงจื่อ’ หนี้ล้นพ้นเสี่ยงล้มละลาย

เช่นเดียวกับเศรษฐกิจจีนในภาพรวม ในปัจจุบัน ภาคธนาคารของจีนมูลค่า 57 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2 พันล้านล้านบาท กำลังอยู่ในภาวะที่ค่อนข้างย่ำแย่จากรายได้และกำไรที่ลดลง

โดยจากข้อมูลของบลูมเบิร์ก ในปลายเดือนกันยายน ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (net interest margins) ของธนาคารพาณิชย์ในจีนลดลงเหลือเพียง 1.73% ต่ำกว่าระดับ 1.8% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดที่ยังทำให้ธนาคารเหล่านี้สามารถสร้างผลกำไรได้อย่างเหมาะสมอยู่

ล่าสุด ในคืนวันที่ 23 พ.ย. จงจื่อ เอนเตอร์ไพรซ์ ธนาคารรายใหญ่แห่งหนึ่งในจีน ได้ออกมาประกาศว่าธนาคารกำลังประสบปัญหาหนี้อย่างหนักจนเสี่ยงล้มละลาย โดยได้ระบุในจดหมายที่ส่งให้นักลงทุนว่า ปัจจุบันธนาคารมีหนี้สินสูงถึงประมาณ 4.2 แสน - 4.6 แสนล้านหยวน หรือราว 2 พันล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับทรัพยสินของธนาคารที่มีอยู่เพียง 2 แสนล้านหยวนแล้ว จึงถือได้ว่าปัจจุบันธนาคารกำลังประสบปัญหาหนี้อย่างหนัก

ข่าวนี้ได้สร้างแรงสะเทือนไปทั้งวงการธนาคารและอสังหาริมทรัพย์ เพราะในปัจจุบัน มีความกังวลอยู่ว่าปัญหาหนี้ในภาคอสังหาฯ จะลุกลามออกไปยังภาคการเงิน โดยเฉพาะในหมู่ ‘ธนาคารเงา’ มูลค่าถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ซัพพอร์ตภาคอสังหาฯ ของจีนอยู่

สภาวการณ์เช่นนี้ทำให้แผนในการสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนอาจเป็นไปอย่างไม่ราบรื่นนัก และอาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกในอนาคต ซึ่งนักลงทุนที่กำลังลงทุนในหุ้นจีนก็ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะถ้าหากภาคอสังหาฯ หรือภาคการเงินของจีนล้มลงมาจริงๆ ทั้งเศรษฐกิจจีนก็จะต้องได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวงตามไปด้วย



ที่มา: Bloomberg (1), Bloomberg (2), Reuters

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT