ข่าวใหญ่จากเฟด! การลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปี สั่นสะเทือนเศรษฐกิจทั่วโลก แล้วประเทศไทยจะได้รับผลกระทบอย่างไร? มาร่วมวิเคราะห์ผลกระทบทั้งในด้านบวกและลบ พร้อมเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ไปด้วยกัน
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ การดำเนินการครั้งนี้จะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสถานะทางการเงินของชาวอเมริกันทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดภาระดอกเบี้ยสำหรับผู้กู้ยืม อย่างไรก็ตาม ยุคทองของผลิตภัณฑ์เงินฝากที่ให้ผลตอบแทนสูงอาจสิ้นสุดลงแล้ว
คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.5% ซึ่งถือเป็นการดำเนินการเชิงรุกมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากก่อนหน้านี้มีความเห็นแตกต่างกันระหว่างการลด 0.25% หรือ 0.5% นี่นับเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2020 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 4.75% ถึง 5% จากเดิมที่ 5.25% ถึง 5.5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2001 การปรับเปลี่ยนท่าทีของเฟดในครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากอัตราเงินเฟ้อที่เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลง ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เฟดต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง
โดยหลักแล้ว เฟดมีอำนาจควบคุมโดยตรงเฉพาะอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นสำหรับเงินกู้ระหว่างธนาคารพาณิชย์ (Federal funds rate) อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของเฟดนั้นส่งผลกระทบต่อต้นทุนการกู้ยืมในวงกว้าง เนื่องจากสถาบันการเงินมักกำหนดอัตราดอกเบี้ยของตนเองโดยอ้างอิงจากกรอบที่เฟดกำหนดไว้ และการลดอัตราดอกเบี้ยก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมด้วยเช่นกัน ต่อไปนี้คือตัวอย่างผลกระทบที่จับต้องได้จากการลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลต่อชีวิตประจำวันของชาวอเมริกัน อาทิ
ผลกระทบ | เชิงบวก | เชิงลบ |
ตลาดการเงิน | - เงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นและตราสารหนี้ - ต้นทุนการกู้ยืมลดลง - สินทรัพย์ดอลลาร์ เช่น ทองคำ มีราคาถูกลง |
- ความผันผวนของตลาดเงินและตลาดทุน - แรงกดดันให้อัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าขึ้น
|
ภาคธุรกิจ | - ต้นทุนการดำเนินงานลดลง - การลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้น |
- ความไม่แน่นอนในการตัดสินใจลงทุน - ผลกระทบต่อธุรกิจส่งออกหากบาทแข็งค่า
|
ผู้บริโภค | - ภาระหนี้ครัวเรือนลดลง - กำลังซื้อเพิ่มขึ้น |
- เงินเฟ้อสูงขึ้นอาจส่งผลต่อค่าครองชีพ
|
การค้าระหว่างประเทศ | - สินค้าไทยถูกลง ส่งออกเพิ่มขึ้น |
- ผลกระทบต่อการส่งออกหากประเทศคู่ค้าชะลอตัว- การท่องเที่ยวอาจได้รับผลกระทบหากบาทแข็งค่า
|
การตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ครั้งแรกในรอบ 4 ปี ถือเป็นสัญญาณสำคัญที่สะท้อนถึงความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ และส่งแรงกระเพื่อมไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย แม้การลดดอกเบี้ยของเฟดจะมุ่งหวังกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นหลัก แต่ผลกระทบที่ตามมาอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยทั้งในด้านบวกและลบ ดังนี้
ผลกระทบเชิงบวก อาทิ
ผลกระทบเชิงลบ อาทิ
การลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดถือเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายสำหรับเศรษฐกิจไทย ในระยะสั้น อาจส่งผลดีต่อตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ และภาคการส่งออก แต่ในระยะยาว อาจมีความเสี่ยงต่อความผันผวนของตลาดเงิน ภาวะเงินเฟ้อ และแรงกดดันต่ออัตราแลกเปลี่ยน ธนาคารแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนและมั่นคง
นอกจากนี้ รัฐบาลและภาคเอกชนควรใช้โอกาสจากสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นและต้นทุนการเงินที่ถูกลงในการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และส่งเสริมการเติบโตในระยะยาว การกระจายการลงทุนไปยังภาคส่วนที่มีศักยภาพสูง และการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม จะเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทยในอนาคต
ในการประชุม FOMC ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 17-18 กันยายนที่ผ่านมา คณะกรรมการเฟดมีมติเสียงข้างมาก 11 ต่อ 1 ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.50% จากระดับ 5.25-5.50% สู่ระดับ 4.75-5.00% การตัดสินใจครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างสมดุลระหว่างความเสี่ยงด้านตลาดแรงงานและเงินเฟ้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่อัตราเงินเฟ้อเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลงเข้าใกล้เป้าหมายที่ตั้งไว้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ว่า การปรับลดดอกเบี้ยครั้งใหญ่ 0.50% นี้บ่งชี้ถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นของเฟดต่อความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะถดถอย แม้ว่าประธานเฟด เจอโรม พาวเวล จะยืนยันว่ายังไม่พบสัญญาณบ่งชี้ภาวะถดถอยในขณะนี้ก็ตาม การดำเนินการเชิงรุกเช่นนี้มีขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะสามารถบรรลุ Soft Landing หรือการชะลอตัวอย่างนุ่มนวล โดยหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่การปรับลดดอกเบี้ยเกิดขึ้นล่าช้าเกินไป
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่าเฟดมีแนวโน้มจะทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ในการประชุมที่เหลืออีก 2 ครั้งของปีนี้ ซึ่งสอดคล้องกับ Dot Plot ล่าสุดที่บ่งชี้ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ณ สิ้นปีนี้น่าจะอยู่ที่ 4.4% หรืออยู่ในช่วง 4.25-4.50% อย่างไรก็ตาม เฟดยังคงยืนยันว่าการตัดสินใจในแต่ละครั้งจะขึ้นอยู่กับข้อมูลและการประเมินความเสี่ยงโดยรวมในขณะนั้น
ตลาดตอบรับผลการประชุม FOMC ด้วยความผันผวนอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงแรก ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยดัชนี S&P 500 และดัชนีดาวโจนส์ทำสถิติสูงสุดใหม่ ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ฯ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเฟดส่งสัญญาณว่าจะทยอยปรับลดดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็เริ่มปรับตัวลดลง ในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ฯ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ กลับมาปรับตัวสูงขึ้น ผลกระทบนี้ส่งผลถึงค่าเงินบาท ซึ่งเปิดตลาดวันที่ 19 กันยายน 2567 ด้วยการอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ประมาณ 33.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ
สำหรับทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงเชื่อว่า กนง. น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50% ตลอดปี 2567 อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยฯ มองว่ามีความเป็นไปได้มากขึ้นที่ กนง. อาจพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% หนึ่งครั้งในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้
อ้างอิงจาก forbes และ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย