ทศวรรษที่หายไป หมายถึง ภาวะที่เศรษฐกิจเติบโตต่ำ จนคนขาดความเชื่อมั่น ไม่กล้าใช้จ่าย
เรื่องนี้เป็นประเด็นที่อาจเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทย ไปจนถึงสหรัฐอเมริกา
ที่ไม่นานมานี้ ดร. นิเวศน์ ต้นแบบนักลงทุนเน้นคุณค่า ได้ออกมาบอกว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโตช้าลงจากการพ่ายแพ้ด้านเทคโนโลยีให้กับจีน
และการประกาศสงครามการค้าที่จะทำให้สุดท้ายแล้ว สหรัฐอเมริกาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว
อินโฟกราฟิกนี้ ได้รวมตัวอย่าง ทศวรรษที่สูญหาย ที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศผู้นำอย่าง ญี่ปุ่น และ สหรัฐอเมริกา ลองมาดูกัน
ย้อนกลับไปในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากญี่ปุ่นแพ้สงครามให้กับฝ่ายพันธมิตร
เศรษฐกิจญี่ปุ่นตกต่ำลงอย่างมาก GDP ของญี่ปุ่นลดลงครึ่งหนึ่ง จากช่วงก่อนเกิดสงคราม
จนกระทั่งหลังปี 1952 เศรษฐกิจญี่ปุ่นก็กลับมาเติบโตอีกครั้ง โดยเฉพาะในปี 1961 ถึง ปี 1970 ที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตเฉลี่ยถึง 9.4% ต่อปี
ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตขึ้น 1.4 เท่า ภายในเวลาแค่ 10 ปีเท่านั้น
จากจุดแข็งทั้งในด้านการผลิตสินค้า อย่างเช่น ยานยนต์ และ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ไปจนถึงค่าแรงที่ไม่แพงทำให้ญี่ปุ่นผลิตสินค้าคุณภาพดี ราคาถูกออกมาจำนวนมาก
จากประเทศที่แพ้สงครามญี่ปุ่นเลยพลิกกลับมาเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจโลก ที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองเพียงสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
แต่จุดเปลี่ยนของเรื่องนี้ก็มาถึง เมื่อญี่ปุ่นเข้าเซ็นสัญญาที่ชื่อว่า Plaza Accord กับสหรัฐอเมริกา ร่วมกับประเทศอื่น อย่างเยอรมนี ฝรั่งเศส และ อังกฤษ
โดยสัญญาฉบับนี้เป็นข้อตกลง ที่จะทำให้ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ เป็นข้อต่อรองที่เกิดขึ้นจากสหรัฐอเมริกา หลังขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่นมากเกินไปจนทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า
สัญญาฉบับนี้พลิกความได้เปรียบของญี่ปุ่นจากหน้ามือเป็นหลังมือ สินค้าญี่ปุ่นมีราคาสูงขึ้นจากค่าเงินที่แข็งค่าขึ้น
รัฐบาลญี่ปุ่นที่ไม่อยากเสียความได้เปรียบตรงนี้ไป เลยแก้เกมด้วยการใช้นโยบายทางการเงินอย่างการลดดอกเบี้ยจาก 5.5% มาเป็น 3.0% ภายในเวลาแค่ปีเดียวเท่านั้น
แต่ปัญหาก็คือ ตอนนั้นเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังเติบโตดีอยู่ มาตรการตรงนี้เลยเหมือนกับเป็นการสุมไฟให้เศรษฐกิจร้อนแรงขึ้นไปอีก
คนญี่ปุ่นเริ่มกู้เงินมาใช้จ่าย และ เก็งกำไร กันมากขึ้น จนทำให้ หนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นจาก 52% ต่อ GDP ในปี 1985 มาเป็น 68% ต่อ GDP ในปี 1990
ทำให้ราคาสินทรัพย์ อย่างเช่น หุ้น และอสังหาริมทรัพย์ พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเกิดเป็นฟองสบู่
ส่วนอัตราเงินเฟ้อก็พุ่งสูงขึ้นจาก 3-7% เป็น 23% ทำให้ญี่ปุ่นเข้าสู่วิกฤติเงินเฟ้อโดยสมบูรณ์
เหตุการณ์ตรงนี้ ทำให้รัฐบาลญี่ปุ่น ตัดสินใจเหยียบเบรกด้วยการขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์ร่วงลงอย่างมาก จนคนที่เก็งกำไรเสียหายอย่างหนัก เกิดเป็นภาวะ ฟองสบู่แตก
วิกฤติตรงนี้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของคนญี่ปุ่นในเวลาต่อมา คนญี่ปุ่นไม่กล้าเอาเงินมาใช้จ่ายอีกต่อไป เกิดเป็นภาวะที่เรียกว่า เงินฝืด
ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นต้องเจอกับภาวะที่เรียกว่า ทศวรรษ ที่สูญหายนับจากนั้นเป็นต้นมา
สหรัฐอเมริกา
จุดเริ่มต้นของทศวรรษที่สูญหายในสหรัฐอเมริกาเกิดขึ้นก่อนปี 2000
ตอนที่โลกของเราเริ่มรู้จักกับอินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรก โดยในตอนนั้นอินเทอร์เน็ตเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้คอมพิวเตอร์ PC ถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย
โดยในช่วงปี 1990-1997 สัดส่วนของบ้านในสหรัฐอเมริกาที่มีคอมพิวเตอร์ PC เพิ่มขึ้นจาก 15% มาเป็น 35% ของบ้านทั้งหมดในสหรัฐฯ
เทคโนโลยีใหม่ตรงนี้ กลายเป็นกระแสที่ทำให้เกิดการเก็งกำไรในหุ้นที่เกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต จนเกิดเป็นฟองสบู่
โดยในช่วงปลายปี 1998 จนถึงช่วงต้นปี 2000 ดัชนี NASDAQ ที่มีสัดส่วนน้ำหนักเป็นหุ้นเทคโนโลยีจำนวนมากให้ผลตอบแทนถึง 3 เด้ง ในเวลาไม่ถึง 2 ปี
ก่อนที่ในอีก 2 ปีต่อมา ดัชนี NASDAQ จะทำผลตอบแทน -78% เรียกได้ว่าถ้าใครลงทุนที่จุดสูงสุดด้วยเงิน 1,000,000 บาท อีก 2 ปีต่อมา จะเหลือเงินประมาณ 200,000 บาท เท่านั้น
เหตุการณ์ตรงนี้ทำให้นักลงทุนเสียความเชื่อมั่น จากการเก็งกำไรที่มากเกินไป ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานประเทศสหรัฐอเมริกาก็ต้องเจอกับวิกฤติใหม่อีกครั้ง
ซึ่งก็เกิดจากการเก็งกำไรไม่ต่างจากเดิม แต่ครั้งนี้มันเป็นการเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์ที่ตอนนั้นมีราคาเพิ่มขึ้นร้อนแรง จากดอกเบี้ยที่ต่ำ
ทำให้คนกู้เงินมาจำนองบ้านกันมากขึ้น รวมถึงมีเครื่องมือการเก็งกำไรแบบใหม่อย่าง Mortgage Backed Securities หรือ MBS ที่เกิดจากการเอาสินเชื่อบ้านทั้งที่มีคุณภาพดี และ ไม่ดี มามัดรวมกัน
ซึ่งหลังจากอัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น คนที่กู้มาซื้อบ้านก็เริ่มจ่ายหนี้ไม่ได้ ทำให้ลามมาถึง MBS เกิดเป็นหนี้สูญครั้งใหญ่
วิกฤติครั้งนั้นทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ -50% ในเวลาแค่ปีเศษเท่านั้น
ซึ่งทั้งวิกฤติดอทคอม และ วิกฤติอสังหาริมทรัพย์ ที่เกิดจากการเก็งกำไรตรงนี้ ก็เป็นสาเหุตที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอนปี 2000-2010 ไม่ไปไหนเลยตลอด 10 ปีนั่นเอง
ที่มา:
-https://www.youtube.com/watch?v=12ddOpt7Hio
-https://www.cnbc.com/2012/05/03/in-europe-parallels-to-japans-lost-decade.html
-https://www.imf.org/external/pubs/nft/2003/japan/index.htm