Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ส่องอาการเศรษฐกิจไทย เป็นจุดอ่อนแค่ไหน? ในศึกซักฟอก 'นายกฯแพทองธาร'
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ส่องอาการเศรษฐกิจไทย เป็นจุดอ่อนแค่ไหน? ในศึกซักฟอก 'นายกฯแพทองธาร'

24 มี.ค. 68
18:30 น.
แชร์

เริ่มต้นขึ้นแล้วสำหรับศึกซักฟอกรัฐบาลหรือการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร โดยฝ่ายค้านที่นำโดยพรรคประชาชน การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 จะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 24-25 มี.ค.โดยใช้เวลารวมทั้งสิ้น 37 ชม. ก่อนลงมติในวันที่ 26 มี.ค.นี้ ซึ่งการผ่านญัตติไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจ ต้องอาศัยเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน สส. ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภา หรือ 247 เสียง จาก สส. ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ 493 คน

ประเด็นสำคัญที่ฝ่ายค้านเตรียมซักฟอกรัฐบาล นอกจากประเด็นร้อนทางการเมืองแล้วแน่นอนว่าเรื่องนโยบายการบริหารเศรษฐกิจไทยของรัฐบาล ก็กำลังถูกพูดถึงอย่างมาก ท่ามกลางข้อมูลทางเศรษฐกิจในปี 2568 ของหลายสำนักที่ชี้ชัดว่าอัตราการเติบโตหรือจีดีพีของประเทศไทยเกือบจะรั้งท้ายในอาเซียน 

ขณะที่ผลการสำรวจความเห็นประชาชนของสวนดุสิตโพล กับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,141 คน เกี่ยวกับคนไทยกับภาวะเศรษฐกิจ ณ วันนี้ ผลสำรวจพบว่า 

  • 46.01% คาดการณ์ ปี 68 เศรษฐกิจน่าจะทรงตัวเหมือนเดิม 
  • 51.01% สภาพเศรษฐกิจทำให้ใช้จ่ายเดือนชนเดือน ต้องระมัดระวังการใช้จ่าย
  • 82.94% ค่าครองชีพสูง ไม่กล้าใช้สอย กำลังซื้อในประเทศไม่ขยายตัว
  • 69.50% รัฐบาลยังไม่มีมีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหา
  • 76.58% นายกและรัฐบาลควรเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจด่วน

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เอกอนงค์ ศรีสำอางค์ ประธานหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์บัณฑิตโรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต พูดถึงการสำรวจครั้งนี้ว่า

“ประชาชนมองว่ามาตรการของรัฐบาลมีประสิทธิภาพควรเร่งปรับปรุงนโยบายเศรษฐกิจและคาดหวังว่านายกรัฐมนตรีและฝ่ายรัฐบาลจะมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้นำในการแก้ปัญหานี้อย่างเร่งด่วน  กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติก็ถูกคาดหวังให้ช่วยสนับสนุนการแก้ไขปัญหานี้เช่นกัน

นอกจากนี้การที่ประชาชนคาดว่าเศรษฐกิจปีนี้จะคงที่หรือแย่ลงแสดงถึงความไม่เชื่อมั่นต่อการฟื้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แม้ว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากเงิน 10,000 บาทออกมาก็ตาม รัฐบาลควรปรับมาตรการเศรษฐกิจเพื่อบรรเทาผลผลกระทบจากค่าครองชีพและช่วยลดภาระหนี้สินของประชาชน  กระตุ้นการลงทุน  โดยการลดต้นทุนการผลิตและสร้างความมั่นคงในระบบการเงิน ที่สำคัญอย่างยิ่งคือการเพิ่มความโปร่งใสและมีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพกับประชาชนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในนโยบายเศรษฐกิจอย่างจริงจังและจริงใจ” 

Spotlight เลยอยากนำสถานการณ์เศรษฐกิจจากมุมมองของ 2 สำนักวิจัยนั่นก็คือ KKP Research และและศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่มีข้อมูลเศรษฐกิจสอคล้องในทางเดียวกันว่าปีนี้เครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอาจไม่ดีอย่างที่หวังโดยเฉพาะการท่องเที่ยวและการส่งออกของไทย เพื่อให้รัฐบาลได้เตรียมรับมือและเลือกใช้นโยบายในการบริหารเศรษฐกิจของประเทศได้แม่นยำมากขึ้น

KKP ปรับลด GDP ไทยปี 68 เหลือโตแค่ 2.3% 

KKP Research ปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2568 ลงเหลือ 2.3% จากเดิม 2.6% ปัจจัยหลักที่ทำให้ GDP ชะลอตัวคือ 

1.การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่ช้ากว่าคาด และ ผลกระทบจากนโยบายแจกเงินของรัฐบาลที่กระตุ้นการบริโภคได้น้อยกว่าที่คาด

2.เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงจาก นโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลให้ไทยถูกขึ้นภาษีระหว่าง 10%-20% ซึ่งกระทบการส่งออกของไทย



สำหรับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และผลต่อเศรษฐกิจพบว่า 

มาตรการแจกเงิน (Digital Wallet) - รัฐบาลใช้มาตรการแจกเงิน 177,000 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ผลที่ได้ต่ำกว่าคาด เพราะส่งผลต่อการบริโภคเพียงเล็กน้อยประชาชนยังคงระมัดระวังการใช้จ่าย โดยมีผลกระตุ้นการบริโภคในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคระยะสั้น เช่น อาหารและเครื่องดื่ม แต่อย่างไรก็ตาม การบริโภคในภาคสินค้าคงทน เช่น ยานยนต์และอสังหาริมทรัพย์ ยังคงหดตัว เนื่องจากภาระหนี้สินของประชาชนยังสูง ขณะเดียวกันต้องจับตาการเตรียมแจกเงินเพิ่มเติมอีก 27,000 ล้านบาท สำหรับคนอายุ 16-20 ปี ในไตรมาส 2 ปี2568นี้ 

ขณะที่การท่องเที่ยวไทยปีนี้ - คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 37.2 ล้านคน ต่ำกว่าคาดการณ์เดิมที่ 38.1 ล้านคน เพราะการท่องเที่ยวจากจีนฟื้นตัวช้า โดยเฉพาะ กลุ่มกรุ๊ปทัวร์จีน ที่อาจไม่กลับมาสู่ระดับก่อนโควิดอีกต่อไป จากข้อมูลพบว่า นักท่องเที่ยวจีนหันไปเที่ยว ญี่ปุ่นและมาเลเซีย มากขึ้นทำให้ไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้น

ผลกระทบต่อ GDP ไทยจากนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ

ส่วนภายใต้สถานการณ์ที่สหรัฐฯอาจปรับเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย ส่งผลกระทบต่อ GDP ไทยตามระดับความรุนแรงของภาษี (%) และมูลค่าเพิ่มสะสมในประเทศของสินค้าไทยที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ (% Value Added of Exports) เช่น หากสหรัฐฯ ปรับภาษีนำเข้าสินค้าไทยที่ 10% และสินค้าดังกล่าวมีมูลค่าเพิ่มสะสมในประเทศ 40% GDP ไทยอาจหดตัวประมาณ -0.27% ส่วนในกรณีที่สหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีเป็น 30% และสินค้ามีมูลค่าเพิ่มสะสมที่ 50% GDP ไทยอาจหดตัวสูงสุดที่ -1.00% เป็นต้น 

KKP Research คาดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 2025 ลงมาอยู่ที่ 1.5% และอาจลดลงอีกในปี 2026 เหลือ 1.25% เป้าหมายเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังโตต่ำกว่าศักยภาพ

ทั้งนี้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่โตช้าโดยตั้งแต่ปี 2020 หลังวิกฤตโควิด-19 เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำกว่าที่คาดการณ์มาตลอด แม้ว่าการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวและรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต โดยปี 2024 GDP ไทยเติบโตเพียง 2.5% ซึ่งต่ำกว่าการคาดการณ์เดิมที่ 2.7%-2.9% การเข้าสู่สังคมสูงวัยและโครงสร้างเศรษฐกิจที่อ่อนแออาจทำให้อัตราการเติบโตของไทยต่ำลงเรื่อย ๆ และอาจต่ำกว่า 2.0% ภายในปี 2035

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมอง GDP ไทยเสี่ยงโตต่ำกว่าคาด 

ด้านมุมมองของศูนย์วิจัยกสิกรไทย แม้จะคงคาดการณ์จีดีพีปี 2568 โตที่ 2.4% แต่ก็ประมินจากปัจจัยลบของสงครามการค้า ที่อาจจะทำให้จีดีพีไทยปี 2568 มีโอกาสเติบโตต่ำกว่าคาดแต่จะยังอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 2.0%  นอกจากนี้ ทิศทางเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังของปี 2568 แทบจะไม่เติบโตเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส (QoQ) จากผลกระทบสงครามการค้า ปัจจัยฐานที่สูงในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และแรงส่งทางเศรษฐกิจลดลง

ความเสี่ยงจากสงครามการค้า 

สหรัฐฯ อาจใช้ Mar-a-Lago Accord ซึ่งเป็นแนวทางคล้าย Plaza Accord เพื่อลดค่าเงินดอลลาร์ฯ ส่งผลให้ไทยอาจเผชิญแรงกดดันด้านอัตราแลกเปลี่ยน ขณะที่นโยบาย Reciprocal Tariff หรือภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่อาจขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไทย 10%-25% ซึ่งอาจทำให้ GDP หดตัว 0.3%-0.6%

อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูง ส่วนอุตสาหกรรมรถยนต์, เหล็ก และอะลูมิเนียม อาจถูกกระทบทางอ้อมจากการแข่งขันที่รุนแรง ขณะที่การแข่งขันในตลาดรถยนต์โลกที่เพิ่มขึ้นและราคาที่ลดลง จะกระทบการส่งออกของไทย เนื่องจากไทยพึ่งพาตลาดส่งออกรถยนต์ถึง 67% ของยอดการผลิตทั้งหมด ส่วนคอุตสาหกรรมการผลิตไทยในภาพรวมอาจหดตัว 1% ในปี 2568 โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานที่ทักษะต่ำจะเผชิญความเสี่ยงด้านรายได้

ความเสี่ยงจากภาคการท่องเที่ยว

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า จำนวนนักท่องเที่ยวหลัก อย่างจีนและมาเลเซีย ลดลง ทำให้ไทยพึ่งพาการท่องเที่ยวได้น้อยกว่าปีก่อน และพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวจีนเปลี่ยนไป โดยหันไปเที่ยวญี่ปุ่นและมาเลเซียมากขึ้น แม้ไทยจะพยายามดึงดูดนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น แต่การแข่งขันสูงและการฟื้นตัวของตลาดท่องเที่ยวอาจไม่สามารถกลับสู่ระดับก่อนโควิดได้เร็ว

ดังนั้นแม้ว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเป็นขาลง แต่ต้นทุนการระดมทุนของภาคเอกชนอาจไม่ได้ลดลงมาก เพราะนักลงทุนยังระมัดระวัง สินเชื่อธนาคารพาณิชย์เติบโตต่ำเพียง 0.6% โดยสินเชื่อ SME และสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ยังหดตัว  สอดคล้องกับสถานการณ์ธุรกิจและอำนาจซื้อที่ไม่แน่นอน ขณะที่มองว่ามาตรการ LTV ที่เพิ่งผ่อนคลายจะทำให้ประมาณการสินเชื่อบ้านปีนี้โตเพิ่มขึ้นได้อีก 0.1-0.2% จากประมาณการเดิมที่ 0.5%

และนี่คือการชี้จุดอ่อนของเศรษฐกิจไทย และเป็นโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายการทำงานของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร เชื่อว่า คนไทยทั้งประเทศกำลังรอการฟื้นของเศรษฐกิจไทยอีกครั้ง

ที่มา: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย , KKP Research , สวนดุสิตโพล

แชร์
ส่องอาการเศรษฐกิจไทย เป็นจุดอ่อนแค่ไหน? ในศึกซักฟอก 'นายกฯแพทองธาร'