ทั้งนี้ เพื่อที่จะสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในไทย และคาดว่าจะสามารถดึงดูดภาคเอกชนจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาใน 4 อุตสาหกรรม อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า, อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์, อุตสาหกรรมดิจิทัล และสำนักงานภูมิภาคและโลจิสติกส์ และคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนกว่า 558,000 ล้านบาท
ม.ล.ชโยทิต กฤดากร ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและประธานผู้แทนการค้าไทย และ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) แถลงถึงผลการดำเนินงานของรัฐบาลด้านการลงทุนและความร่วมมือกับภาคเอกชนต่างชาติ
ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีและคณะได้เดินทางเยือนต่างประเทศ โดยมีพันธกิจสำคัญในการนำเสนอวิสัยทัศน์ เจรจาด้านความร่วมมือทวิภาคีกับผู้นำประเทศต่างๆ และเข้าร่วมเวทีสำคัญระดับโลก ที่นอกเหนือจากการประชุมตามวาระงานแล้ว
ม.ล.ชโยทิต กฤดากร ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและประธานผู้แทนการค้าไทย กล่าวว่า นายกฯ ยังได้ใช้โอกาสนี้เข้าพบภาคธุรกิจต่างชาติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ชักชวนการลงทุน และกระชับความร่วมมือกับประเทศไทย ทั้งการพบปะผู้บริหารระดับสูง การนำเสนอวิสัยทัศน์ต่อสมาคมธุรกิจและหอการค้าชั้นนำ ตลอดจนจัดกิจกรรมเจรจาธุรกิจและจับคู่ผู้ประกอบการไทยและต่างประเทศ
ทั้งนี้ รัฐบาลและบีโอไอได้กำหนดยุทธศาสตร์เน้นหนักในการดึงดูดการลงทุนโดยเฉพาะใน 4 อุตสาหกรรม ได้แก่ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ Data Center และ Cloud Service รวมถึงกิจการสำนักงานภูมิภาค (Regional Headquarters) เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้แก่อุตสาหกรรมหลักของประเทศ
สรุป : ผลจากการดำเนินงาน ทำให้บริษัทผู้ผลิตจากจีนหลายรายในระดับท็อป 10 ของโลก เช่น BYD, Aion, Changan, GWM, MG เลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออก และจากการเจรจาครั้งสำคัญเมื่อปีที่แล้วที่กรุงโตเกียว ทำให้ 4 ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นชั้นนำ มีแผนการขยายการลงทุนรวมกว่า 1.5 แสนล้านบาทภายใน 5 ปี
สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสสำหรับผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานในการปรับตัวไปสู่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต และการรักษาธุรกิจ ICE ในปัจจุบัน ในขณะที่รัฐบาลยังคงเดินหน้าเจรจากับผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่จากยุโรปและอเมริกาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนั้น รัฐบาลยังมีมาตรการสนับสนุนการผลิตชิ้นส่วนสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้า โดยรัฐบาลอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ชั้นนำของโลก คาดว่าภายในปีนี้จะมีผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่อย่างน้อย 2 รายเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
2. อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ ที่ผ่านมา ถือว่า ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการดึงการลงทุนกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์กลางน้ำไปจนถึงปลายน้ำมาลงทุนในประเทศไทย
ดังนั้น รัฐบาลจึงตั้งเป้าพัฒนาให้เกิดระบบนิเวศ ด้วยการดึงดูดกลุ่มผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง เช่น การผลิตชิปต้นน้ำ การออกแบบอิเล็กทรอนิกส์ การรับจ้างผลิตและทดสอบชิปขั้นสูง เข้ามายังประเทศไทย เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมให้มีมูลค่าสูง สร้างงานทักษะสูงในประเทศ
โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างเจรจากับบริษัทระดับโลกหลายราย พร้อมพัฒนาบุคลากรไทยเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเหล่านี้
3. อุตสาหกรรมดิจิทัล โดยเฉพาะด้าน Data Center และ Cloud Services ซึ่งเป็นพื้นฐานของอุตสาหกรรม AI คาดว่าภายในปีนี้จะมีผู้ให้บริการระดับ Hyperscale เข้ามาลงทุนเพิ่มเติมอย่างน้อย 2 ราย ซึ่งเชื่อว่า จะเป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดการลงทุนต่อเนื่องหลายแสนล้านบาทในช่วง 10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาคได้
4. การดึงดูดบริษัทชั้นนำให้ตั้งสำนักงานภูมิภาคในประเทศไทย เพื่อขับเคลื่อนการเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศและศูนย์กลางการเงิน และโลจิสติกส์ของภูมิภาคนี้
โดยในปีที่ผ่านมา มีบริษัทต่างชาติรายใหญ่หลายรายเลือกไทยในการจัดตั้งสำนักงานภูมิภาค ส่งผลให้มีแรงงานทักษะสูงระดับผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญเข้ามาอยู่ในประเทศ ซึ่งเป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของบุคลากรไทย
นอกจากนั้น รัฐบาลยังคงมุ่งมั่นในการจูงใจให้ภาคเอกชนจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทผู้มีฐานการผลิตในไทยและอาเซียน รวมทั้งกลุ่มธุรกิจบริการต่างๆ เช่น ดิจิทัล การเงิน โลจิสติกส์ ไปจนถึงธุรกิจแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ ซึ่งใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของไทยในหลาย ๆ ด้าน
โดยนอกเหนือจากปัจจัยด้านธุรกิจ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน บุคลากรที่มีคุณภาพ ต้นทุนทางธุรกิจที่เหมาะสมแล้ว ยังมีปัจจัยที่สนับสนุนการอยู่อาศัยและใช้ชีวิตสำหรับกลุ่มคนทำงานด้วย เช่น สิ่งอำนวยความสะดวก ระบบรักษาพยาบาล โรงเรียน แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ เป็นต้น โดยในปีนี้คาดว่าจะมีบริษัทใหญ่ตัดสินใจเข้ามาลงทุนจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคในไทยเพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 5 ราย
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการ BOI ยังเปิดเผยว่า BOI คาดจะมีเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามา จากการที่เดินสายโรดโชว์ ประกอบกับมีมาตรการสนับสนุนของรัฐบาล ใน 4 อุตสาหกรรมหลัก รวมแล้วประมาณ 558,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ รัฐบาลยังเดินหน้าสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น เรื่อง ฟรีวีซ่า ซึ่งได้มีการเจรจาและเกิดขึ้นแล้วกับจีน คาซัคสถาน และอินเดีย และอีกหลายประเทศที่กำลังดำเนินการ
ความร่วมมือในการพัฒนาบุคคลากร การเปิดช่องทางการค้าใหม่ ๆ เพิ่มความสัมพันธ์ในการลงนามข้อตกลงการค้าเสรี FTA และการผลักดันด้านความร่วมมือด้านพลังงานหมุนเวียน
อย่างไรก็ตาม จากผลการเดินสายเป็นเซลล์แมนของนายกฯ เศรษฐา ข้างต้นนั้น เชื่อว่า ประชาชนไทยจะได้รับประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม จากการสร้างความร่วมมือกับรัฐบาล องค์กร และบริษัทชั้นนำของโลก ผ่านการสร้างงาน สร้างอาชีพ และเพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
พร้อมจะยังเป็นการเปิดโอกาสให้มีการพัฒนาทักษะและศักยภาพของแรงงานให้สูงขึ้น ทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักในเวทีโลก ในแง่ของการเป็นผู้นำของภูมิภาคเอเชีย และท้ายที่สุดแล้วประชาชนคนไทยจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน จากการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่เป็นที่ต้องการในอนาคต