ข่าวเศรษฐกิจ

DEFA ข้อตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลในอาเซียน  อาจเป็นทางรอดเศรษฐกิจไทย

26 ก.ค. 67
DEFA ข้อตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลในอาเซียน   อาจเป็นทางรอดเศรษฐกิจไทย
ไฮไลท์ Highlight
  • ภายในปี 2025 ทุกประเทศสมาชิกอาเซียนจะลงนามร่วมกันภายใต้ “กรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน” หรือ “DEFA” หรือ Digital Economy Framework Agreement

  • จะเกิดการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเปลี่ยนแปลงการซื้อขาย (Trade Digitalization) ให้เกิดการเชื่อมต่อแบบไร้พรมแดนระหว่างกันในประเทศสมาชิกอาเซียน

  • เพียง 60% ของการลงนาม DEFA นี้สามารถดึงเม็ดเงินเข้าภูมิภาคได้กว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 7.2 หมื่นล้านบาท) 

แม้ว่ากระทรวงการคลังจะปรับคาดการณ์GDP ไทยปีนี้เพิ่มขึ้นเป็นเติบโต 2.7% แต่ก็ยังคงต้องรอดูสถานการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆที่จะออกมาด้วย ทั้งการปิดโรงงานในภาคอุตสาหกรรม สถานการณ์หนี้ครัวเรือนของไทย ซึ่งหลายสำนักวิจัย ต่างประสานเสียงว่า เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงในการเติบโตระดับต่ำในอนาคต จากปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศไทย

แม้จะเต็มไปด้วยข้อมูลทางเศรษฐกิจที่น่าห่วง แต่อีกด้านหนึ่งก็พอจะมองเห็นโอกาสของเศรษฐกิจไทยอยู่บ้าง SPOTLIGHT Live Talk พุดคุยกับ  คุณท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งได้มีโอกาสเข้าร่วมการประชุม Summer Davos หรือ  การประชุม Annual Meeting of the New Champions 2024 ของ World Economic Forum ณ เมืองต้าเหลียน สาธารณรัฐประชาชนจีน มีประเด็นในเวทีประชุมของผู้นำโลกและเรื่องที่คนไทยจำเป็นต้องรู้ เพื่อเตรียมพร้อมปรับตัวให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและการแข่งขันในระดับภูมิภาค

Summer Davos

ภาพจาก AFP มิ.ย.67 :นายกรัฐมนตรีจีน หลี่ เฉียง
กล่าวสุนทรพจน์ระหว่างพิธีเปิดการประชุม Annual Meeting of the New Champions 2024
ของ World Economic Forum ณ เมืองต้าเหลียน สาธารณรัฐประชาชนจีน

 

อาเซียนเตรียมประกาศข้อตกลงเศรษฐกิจดิจิทัล DEFA ในปี 2025

ประเด็นที่คนไทยทุกคนจำเป็นต้องรู้ คือ ภายในปี 2025 ทุกประเทศสมาชิกอาเซียนจะลงนามร่วมกันภายใต้ “กรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน” หรือ “DEFA” หรือ Digital Economy Framework Agreement ที่จะร่วมกันพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคอาเซียนให้รวมเป็นหนึ่งเดียวและจะมีประชากรรวมกันกว่า 600 ล้านคน ซึ่งจะส่งผลให้อาเซียนกลายเป็นภูมิภาคที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกและจะดึงดูดเม็ดเงินด้านเศรษฐกิจดิจิทัลเข้ามาในภูมิภาคจำนวนมาก 

ปัจจุบันมีความคืบหน้าในการลงนามไปแล้วกว่า 50% ซึ่งจะเกิดการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเปลี่ยนแปลงการซื้อขาย (Trade Digitalization) ให้เกิดการเชื่อมต่อแบบไร้พรมแดนระหว่างกันในประเทศสมาชิกอาเซียน โดยเฉพาะใน 3 ด้านหลักนี้

1.Free-flow of Payments หรือ ความลื่นไหลของการชำระเงิน คือ การชำระเงินจะสามารถเชื่อมต่อกันได้ (Cross-border Payments) ในอาเซียน โดยจะมีศักยภาพเหมือนการโอนเงินพร้อมเพย์ให้กันได้ทั่วถึงครอบคลุมทั้งภูมิภาค แต่ยังคงมีหลายประเด็นที่ประเทศสมาชิกต้องมาตกลงกันเพิ่มเติม เช่น Data Flows (กระแสข้อมูล), Cyber Security (ความปลอดภัยทางไซเบอร์), Emerging Technology (เทคโนโลยีเกิดใหม่) ฯลฯ ที่จะต้องมาหาทางออกร่วมกัน

2.Free-flow of Goods & Services หรือ ความลื่นไหลของสินค้าและบริการ คือ ระบบการเชื่อมโยงระบบอิเล็กทรอนิกส์จุดเดียว หรือ “ASEAN Single Window” ที่จะสนับสนุนให้การซื้อขายสินค้าหรือให้บริการระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนมีความไหลลื่นระหว่างกันได้ แต่จะต้องกำหนดมาตรฐานเดียวกันสำหรับการนำเข้าหรือส่งออก รวมถึงค่าธรรมเนียมและกฎหมายต่าง ๆ ของกรมศุลกากร ร่วมกันต่อไป

3.Free-flow of People หรือ ความลื่นไหลของทรัพยากรบุคคล คือ การเคลื่อนย้ายของประชากร ในภูมิภาคอาเซียนจะมีการแลกเปลี่ยนระหว่างกันมากขึ้นเป็นรูปแบบของ Talent Mobility ทั้งการทำงานข้ามประเทศระหว่างกันหรือการเดินทางท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียน โดยมี One Passport หรือ One Visa แบบ European Zone

ทั้งนี้ ข้อตกลง DEFA ในด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ ทั้ง AI, Big Data, 3D Printing, IOT ฯลฯ มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งกว่าจะหาข้อตกลงกันได้ก็ใช้เวลานาน ทำให้ข้อตกลงในด้านเหล่านี้มีการเปิดช่องบางส่วนไว้เป็น Flexible Regulation ที่สามารถปรับเปลี่ยนและยืดหยุ่นได้ เผื่อรองรับการเกิดเทคโนโลยีใหม่ในอนาคต

ผลจาก DEFA คาดดึงเม็ดเงินกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเข้ามาในอาเซียน

DEFA ถือเป็นข้อตกลงที่มีความสำคัญทุกฝ่ายมีผลผูกพันตามกฎหมาย ที่มีผลบังคับใช้กับทุกฝ่ายในข้อตกลงให้เดินหน้าตามกรอบความร่วมมือเดียวกันเป็น One ASEAN ที่จะดึงดูดความสนใจของนักลงทุนและนักพัฒนาจากทั่วโลกให้เข้ามาสู่ภูมิภาคอาเซียน ซึ่งถูกประมาณการว่า เพียง 60% ของการลงนาม DEFA นี้สามารถดึงเม็ดเงินเข้าภูมิภาคได้กว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 7.2 หมื่นล้านบาท) 

นอกจากนี้ Relative Growth Rate ที่เกิดขึ้นของแต่ละประเทศจะมีการเติบโตไม่เท่ากัน เช่น ประเทศอินโดเนเซียน่าจะโต 1.5 เท่า ในขณะที่กลุ่มประเทศแม่โขงแอเรีย อย่างประเทศลาว เมียนมา และกัมพูชา มีโอกาสโตได้ถึง 3-5 เท่าเลยทีเดียว ซึ่ง DEFA จะสร้างประโยชน์ให้กับกลุ่มประเทศเล็ก ๆ ให้มีโอกาสเติบโตสูงขึ้นมาก

คุณท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา

ทำไมต้องมีข้อตกลง DEFA 

เหตุผลหลักของการร่วมมือกันคือการเพิ่ม Scale ของกลุ่มประเทศขนาดเล็ก เพื่อให้มีเสียงที่ดังขึ้นและอำนาจต่อรองที่มากขึ้น ซึ่งสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ในปัจจุบันที่ขยับจาก Unilateral System (ระบบที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน) ที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นพี่ใหญ่ที่ทำให้ทุกคนปรองดองและโตไปด้วยกัน มาสู่ยุค Multilateral System (ระบบพหุภาคี) ที่มี European Zone และจีนที่ก้าวขึ้นมามีบทบาทคู่กับสหรัฐอเมริกา ทำให้ประเทศเล็ก ๆ จะต้องหาทางรับมือในการอยู่ร่วมกับประเทศมหาอำนาจแต่ละกลุ่ม

โลกจาก Globalization สู่ Regionalization: ความท้าทายและโอกาสสำหรับประเทศเล็ก

ในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา โลกได้พัฒนาจากการรวมกลุ่มระดับภูมิภาค (Regionalization) ไปสู่โลกาภิวัตน์ (Globalization) แต่ปัจจุบันกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงที่มีแนวโน้มกลับไปสู่ Regionalization อีกครั้ง ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญสำหรับประเทศขนาดเล็กในการสร้างอำนาจต่อรองมากขึ้น โดยประเทศขนาดเล็กจำเป็นต้องรวมกลุ่มกันเพื่อสร้างอำนาจต่อรองในเวทีโลก ซึ่งอาเซียนเป็นตัวอย่างที่ดีของการรวมกลุ่มผ่านข้อตกลง DEFA ที่จะช่วยสร้าง Scale และ Movement ให้กลุ่มประเทศขนาดเล็กมีเสียงที่ดังขึ้น

นอกจากนี้ AI ก็เป็นอีกอำนาจต่อรองของประเทศมหาอำนาจ เพราะการพัฒนา Fundamental Layer ของ AI จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล ซึ่งประเทศขนาดเล็กจะไม่สามารถลงทุนเองได้เลยและทำให้ต้องพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศมหาอำนาจทั้ง 3 แห่ง คือ Open AI ของสหรัฐอเมริกา State-Led AI ของจีน และ Closed System ของยุโรป ทำให้อาจถูก Weaponized ได้ เพราะจำเป็นต้องพึ่งพาการพัฒนาและการใช้งาน AI บน One System จึงเกิดแนวคิด Regionalization ขึ้น โดยให้ประเทศในภูมิภาคควรร่วมมือกันพัฒนา Regionalized AI เช่น ASEAN AI เพื่อลดการพึ่งพามหาอำนาจและสร้างความเป็นอิสระทางเทคโนโลยีอีกด้วย

การกลับสู่ Regionalization เป็นทั้งความท้าทายและโอกาสสำหรับประเทศขนาดเล็ก การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีในระดับภูมิภาคจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งและลดการพึ่งพามหาอำนาจ ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาสมดุลในการมีปฏิสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจอย่างจีนที่ยังคงมีอิทธิพลสูงต่อเศรษฐกิจโลก

3 ทางรอดประเทศเล็กใช้รับมือประเทศมหาอำนาจ

1.การเป็นผู้ยอมรับชะตากรรม (Be a Price Taker) แนวทางนี้ใช้โดยประเทศสิงคโปร์ เปรียบเสมือนการทำตัวเป็น "กุ้งมีพิษ" ที่แม้ไม่สามารถทำร้ายใครได้ แต่หากถูกกินก็จะสร้างความเจ็บป่วยให้ผู้กิน ซึ่งคือการยอมรับว่าประเทศเล็กไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการกระทำของมหาอำนาจได้ ทำได้แต่ยอมรับผลการตัดสินใจของประเทศมหาอำนาจ แต่ในขณะเดียวกันก็ลดความเสี่ยงจากการเผชิญหน้าโดยตรง

2.การทูตแบบจักรยาน (Bicycle Diplomacy) กลยุทธ์นี้เน้นความคล่องตัวและการปรับตัว เปรียบเสมือนจักรยานที่สามารถเลี้ยวหลบหลีกระหว่างรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่กำลังปะทะกัน ประเทศเล็กสามารถหาช่องทางเอาตัวรอดได้ในขณะที่มหาอำนาจกำลังขัดแย้งกัน แต่ข้อเสียคืออาจไม่ส่งเสริมการพัฒนาในภาพรวม เพราะเน้นเพียงการเอาตัวรอด

3.การสร้างความน่าเชื่อถือเพื่อถ่วงดุลอำนาจ (Break the Great Locks) แนวทางนี้เน้นการสร้างความน่าเชื่อถือผ่านการมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ มีความรู้ และสามารถนำเสนอข้อเท็จจริงที่มีน้ำหนัก ทำให้ประเทศขนาดเล็กสามารถมีเสียงในเวทีระหว่างประเทศได้ 

อย่างไรก็ตาม แต่ละกลยุทธ์ก็มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับบริบทและสถานการณ์ของแต่ละประเทศ ประเทศขนาดเล็กอาจต้องผสมผสานกลยุทธ์เหล่านี้เพื่อรับมือกับความท้าทายในเวทีระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประเทศไทยเตรียมพร้อมรับมือกับอนาคตได้อย่างไร? 

สิ่งแรกคือคนไทยจะต้องรู้และเตรียมพร้อมสู่ข้อตกลง DEFA ที่กำลังจะเกิดขึ้น ภายใต้แนวคิด "One ASEAN Strong People" อาเซียนจะต้องรวมตัวกันเป็นพลังที่แข็งแกร่ง เนื่องจากในอนาคต แนวโน้มจะเปลี่ยนจาก Globalization เป็น Regionalization ประเทศไทยควรเตรียมพร้อมเข้าร่วม DEFA และเจรจาเพื่อผลประโยชน์สูงสุด เพื่อสร้างอำนาจต่อรองของภูมิภาคอาเซียน 

รวมถึงการสร้างรากฐานที่แข็งแรงให้กับประเทศไทยโดยพิจารณาจากกลยุทธ์ของจีนและเวียดนามมาปรับใช้อย่างเร่งด่วน พร้อมเร่งแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือนและหนี้สินรัฐบาล การเตรียมความพร้อมสำหรับสังคมผู้สูงอายุ (Ageing Population) และเศรษฐกิจผู้สูงวัย (Silver Economy) เพื่อมุ่งสร้างการเติบโตแบบมีส่วนร่วม (Inclusive Growth) และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ที่สำคัญคือการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ (Human Capital) ซึ่งประเทศไทยต้องส่งเสริมให้ประชาชนมีทักษะ (Skill Set) ที่สอดคล้องกับทิศทางของโลก เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงและโอกาสใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้น รวมถึงการยกระดับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DES) ให้เป็นกระทรวงเกรด A เพื่อผลักดันด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Scientech) อย่างจริงจัง เพื่อเตรียมพร้อมคนไทยให้สามารถแข่งขันในตลาด Digital Economy ได้ อีกทั้งยกระดับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เป็นกระทรวงเกรด A เช่นกัน เพื่อจัดการเรื่องการพัฒนาสีเขียว (Green Development) อย่างจริงจัง โดยให้ความสำคัญกับประเด็นต่างๆ เช่น Carbon Pricing, Carbon Tax, Net Zero, Climate Tech, Green Loan, Green Transition และ Green Finance เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถปรับตัวให้ทันกับแนวโน้มของโลก โดยเฉพาะในเรื่องของการผลิตข้าวไทย

การเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับความท้าทายในอนาคตและก้าวสู่การเป็นประเทศที่มีความเข้มแข็งทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม พร้อมที่จะแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT