ข่าวเศรษฐกิจ

โรงงานปิดตัวในไทยยังพุ่งได้อีก เศรษฐกิจปี 67 ไม่ใช่เรื่องเล่นๆอีกต่อไป

30 ก.ค. 67
โรงงานปิดตัวในไทยยังพุ่งได้อีก เศรษฐกิจปี 67 ไม่ใช่เรื่องเล่นๆอีกต่อไป

สถานการณ์โรงงานปิดตัวในประเทศไทย สัญญาณเตือนและความท้าทายต่อภาคอุตสาหกรรมในปี 2567 เนื่องจากสถานการณ์ที่น่ากังวลในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 มีจำนวนโรงงานที่ปิดกิจการสูงเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงความท้าทายที่ภาคอุตสาหกรรมไทยที่กำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้

โรงงานปิดตัวในไทยยังพุ่งได้อีก เศรษฐกิจปี 67 ไม่ใช่เรื่องเล่นๆอีกต่อไป

โรงงานปิดตัวในไทยยังพุ่งได้อีก เศรษฐกิจปี 67 ไม่ใช่เรื่องเล่นๆอีกต่อไป

จากข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) ที่แสดงให้เห็นถึงจำนวนโรงงานที่ปิดตัวลงในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าเป็นห่วงในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 มีจำนวนโรงงานที่ปิดตัวลงสูงถึง 1,009 แห่ง ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 867 แห่งในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 นับเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนถึงความท้าทายที่ภาคอุตสาหกรรมกำลังเผชิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจยังคงฟื้นตัวจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด-19 และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการปิดกิจการ

การปิดกิจการของโรงงานไม่ได้เกิดจากปัจจัยเดียว แต่เป็นผลกระทบจากหลายปัจจัยที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทั่วโลกส่งผลกระทบต่อความต้องการสินค้าและบริการ ทำให้อุตสาหกรรมหลายแห่งประสบปัญหาในการรักษายอดขาย นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นยังส่งผลให้ต้นทุนการผลิตพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนก็ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและราคาพลังงานทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตและการขนส่งสินค้าของโรงงานในประเทศไทย

นอกจากปัจจัยภายนอกเหล่านี้แล้ว ปัจจัยภายในประเทศ เช่น การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภค ก็มีส่วนสำคัญในการปิดกิจการของโรงงานในบางอุตสาหกรรม ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของแฟชั่นและความนิยมของผู้บริโภคที่หันไปซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น หรืออุตสาหกรรมแปรรูปไม้และผลิตภัณฑ์จากกระดาษที่ต้องเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและการแข่งขันจากวัสดุทางเลือกอื่นๆ

พื้นที่และอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ

ข้อมูลจาก KResearch ชี้ให้เห็นว่า จังหวัดชลบุรีเป็นพื้นที่ที่มีจำนวนโรงงานปิดกิจการมากที่สุดในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 โดยมีจำนวนโรงงานที่ปิดตัวลงถึง 118 แห่ง รองลงมาคือจังหวัดสมุทรปราการ (45 แห่ง) และกรุงเทพมหานคร (44 แห่ง)

สำหรับอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ อุตสาหกรรมแปรรูปไม้และผลิตภัณฑ์จากกระดาษ อุตสาหกรรมผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม อุตสาหกรรมการทำยางขั้นต้นและผลิตภัณฑ์ยาง อุตสาหกรรมอโลหะ และอุตสาหกรรมเหล็กและโลหะ

LH Bank ยอมรับมีลูกค้าปิดโรงงานเล็กน้อย

นายฉี ชิง-ฟู่ กรรมการผู้จัดการ LHFG และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LH Bank เผยว่า ในส่วนของลูกค้าของธนาคาร มีปิดโรงงานลงบ้าง แต่ไม่มากแต่ก็มีอยู่ แต่ก็เชื่อว่าสถานการณ์ในครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้น ทั้งในแง่เศรษฐกิจ การลงทุน การขยายตัวของสินเชื่อ และการเร่งเบิกจ่ายของภาครัฐ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้

ผลกระทบที่กว้างไกลและความจำเป็นในการปรับตัว

การปิดกิจการของโรงงานส่งผลกระทบโดยตรงต่อแรงงานจำนวนมาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม และอุตสาหกรรมแปรรูปไม้และผลิตภัณฑ์จากกระดาษ ซึ่งแรงงานที่ถูกเลิกจ้างอาจประสบปัญหาในการหางานใหม่ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ภาคอุตสาหกรรมไทยจำเป็นต้องปรับตัวและพัฒนากลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป การลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม การพัฒนาทักษะแรงงาน การแสวงหาตลาดใหม่ และการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมไทยสามารถก้าวผ่านความท้าทายนี้ไปได้

ความท้าทายและโอกาส และบทบาทของภาครัฐและความร่วมมือ

สถานการณ์การปิดกิจการของโรงงานที่เพิ่มขึ้นเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย รัฐบาลและภาคเอกชนจำเป็นต้องร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหาและส่งเสริมการพัฒนาภาคการผลิตอย่างยั่งยืน ซึ่งรวมถึงการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ การพัฒนาทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด

การปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจ และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน ในขณะเดียวกัน วิกฤตการณ์นี้อาจเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการที่สามารถปรับตัวและมองหาช่องทางใหม่ๆ ในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตสูงในอนาคต

ด้านภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนและส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมให้สามารถปรับตัวและเติบโตได้อย่างยั่งยืน การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การส่งเสริมการลงทุน การพัฒนาทักษะแรงงาน และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจ ล้วนเป็นสิ่งที่ภาครัฐสามารถดำเนินการได้ นอกจากนี้ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาภาคอุตสาหกรรมยังเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

อนาคตของภาคอุตสาหกรรมไทย

แม้ว่าสถานการณ์การปิดกิจการโรงงานจะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมไทยอย่างมาก แต่ก็ยังมีโอกาสและศักยภาพในการเติบโตในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีขั้นสูง พลังงานสะอาด และเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตสูงในอนาคต ด้วยการปรับตัว พัฒนา และร่วมมือกัน ภาคอุตสาหกรรมไทยจะสามารถก้าวข้ามความท้าทายนี้และเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไปได้

จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น การปิดตัวของโรงงานในประเทศไทยไม่เพียงแต่เป็นสัญญาณเตือนถึงความท้าทายที่ภาคอุตสาหกรรมกำลังเผชิญ แต่ยังสะท้อนถึงความจำเป็นในการปรับตัวและพัฒนาอย่างเร่งด่วน เพื่อให้สามารถรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเส้นทางข้างหน้าอาจเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่ด้วยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และแรงงาน การปรับตัวเชิงกลยุทธ์ และการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมไทยสามารถก้าวข้ามผ่านวิกฤตนี้ไปได้ และสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

ที่มา KResearch

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT