มูลค่าการส่งออกของไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ขยายตัวเพียง 2.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยสินค้าเกษตรได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยเฉพาะผลไม้สดที่ราคาตกต่ำอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ภาคการส่งออกยังเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของประเทศคู่ค้าสำคัญ และค่าระวางเรือที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปี
วิกฤตส่งออกไทยปีนี้น่าห่วง! สินค้าเกษตรไทยทรุด ผลไม้สดร่วงไม่หยุด
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ปัจจัยเสี่ยงต่อที่ต้องจับตาการส่งออกไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 Krungthai COMPASS วิเคราะห์ว่าภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในประเทศคู่ค้าสำคัญอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของการส่งออกไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 โดยดัชนี Flash PMI ภาคการผลิตเดือนกรกฎาคมของประเทศหลักๆ ล้วนปรับตัวลดลง อันเนื่องมาจากคำสั่งซื้อใหม่ที่ลดลง โดยสหรัฐฯ หดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน ญี่ปุ่นหดตัวในรอบ 3 เดือน และยุโรปหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 25
นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจของจีนยังคงมีความเปราะบาง สะท้อนให้เห็นจากดัชนียอดค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคที่ชะลอตัวลงในเดือนมิถุนายน และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบ่งชี้ถึงแรงกดดันด้านอุปสงค์ต่อสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ รวมถึงสินค้าส่งออกจากไทย โดยการส่งออกของไทยไปยังจีนในเดือนมิถุนายนหดตัวลง 12.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
การชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศหลักๆ ดังกล่าวบ่งชี้ว่าอุปสงค์ต่อสินค้านำเข้ายังคงฟื้นตัวได้อย่างจำกัด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของภาคการส่งออกของไทย นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงเพิ่มเติมจากปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งเห็นได้จากค่าระวางเรือตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุตที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุด ณ วันที่ 25 กรกฎาคม ค่าระวางปรับขึ้นไปอยู่ที่ 5,806 ดอลลาร์ต่อตู้ หรือขยายตัว 9.2% จากเดือนก่อนหน้า
วิกฤตส่งออกไทยครึ่งปีแรก 67 หดตัวครั้งแรกในรอบ 3 เดือน
ในเดือนมิถุนายน 2567 มูลค่าการส่งออกของประเทศไทยอยู่ที่ 24,796.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงเล็กน้อย 0.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า นับเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 3 เดือน สาเหตุหลักมาจากการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรที่อ่อนตัวลง ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการส่งออกที่เร่งตัวขึ้นในเดือนพฤษภาคม หลังจากที่ผลผลิตทางการเกษตรได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง ส่งผลให้ผลผลิตออกสู่ตลาดล่าช้ากว่าปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมยังขยายตัวได้อย่างจำกัด
อย่างไรก็ตาม การส่งออกทองคำกลับขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญถึง 184.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า หากไม่นับรวมทองคำ มูลค่าการส่งออกในเดือนนี้จะหดตัว 1.7% โดยภาพรวมการส่งออกในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ขยายตัว 2.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
สำหรับสินค้าส่งออกสำคัญบางรายการยังคงมีการขยายตัว เช่น สินค้าอุตสาหกรรมขยายตัว 0.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัว 4.2% โดยสินค้าที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (22.0%), เครื่องโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (20.1%), รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (13.5%) และ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ (7.2%) เป็นต้น ในขณะที่สินค้าที่หดตัวลง ได้แก่ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ (-24.2%), แผงวงจรไฟฟ้า (-21.4%), ผลิตภัณฑ์ยาง (-7.9%), เม็ดพลาสติก (-6.3%) และเคมีภัณฑ์ (-5.5%) เป็นต้น
สำหรับสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร หดตัว 3.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวสูงถึง 19.3% โดยสินค้าเกษตรหดตัว 2.2% และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรหดตัว 4.8% สินค้าส่งออกที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ (147.7%), ข้าว (96.6%), ยางพารา (28.8%), อาหารสัตว์เลี้ยง (13.1%), ผลไม้กระป๋องและแปรรูป (6.0%) และไก่แปรรูป (4.0%) เป็นต้น ส่วนสินค้าที่หดตัวลง ได้แก่ น้ำตาลทราย (-51.9%), ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง (-37.8%), ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง (-13.4%) และเครื่องดื่ม (-9.5%) เป็นต้น
การส่งออกไปยังตลาดสำคัญบางส่วนมีการขยายตัว
- สหรัฐอเมริกา: ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 ที่ 5.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, เครื่องโทรสาร, โทรศัพท์, อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น ส่วนสินค้าที่หดตัว ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง, เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และหม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ เป็นต้น (การส่งออกในช่วงครึ่งแรกของปี ขยายตัว 11.2%)
- จีน: กลับมาหดตัวที่ 12.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง, ผลิตภัณฑ์ยาง และเม็ดพลาสติก เป็นต้น ในขณะที่สินค้าที่ยังขยายตัว ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เป็นต้น (การส่งออกในช่วงครึ่งแรกของปี ขยายตัว 1.2%)
- ญี่ปุ่น: หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ที่ 12.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ไก่แปรรูป, เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่นๆ และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เป็นต้น ส่วนสินค้าที่ขยายตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น (การส่งออกในช่วงครึ่งแรกของปี หดตัว 7.5%)
- สหภาพยุโรป (EU27): กลับมาขยายตัวที่ 7.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น ส่วนสินค้าที่หดตัว ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ, เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เป็นต้น (การส่งออกในช่วงครึ่งแรกของปี ขยายตัว 4.4%)
- ASEAN-5: หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ที่ 2.0% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า, เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น ส่วนสินค้าที่ขยายตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, น้ำมันสำเร็จรูป เป็นต้น (การส่งออกในช่วงครึ่งแรกของปี หดตัว 2.7%)
สำหรับการนำเข้าในเดือนมิถุนายน มีมูลค่า 24,578.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวเล็กน้อยที่ 0.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า และฟื้นตัวจากเดือนก่อนหน้าที่หดตัว 1.6% โดยมีการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (+6.3%) และสินค้าอุปโภคบริโภค (+1.3%) เพิ่มขึ้น ในขณะที่สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง (-22.2%) และสินค้าทุน (-2.0%) ยังคงหดตัว รวมถึงสินค้าเชื้อเพลิง (-3.8%) ที่กลับมาติดลบ ส่งผลให้ดุลการค้าในเดือนมิถุนายนเกินดุลต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ที่ 218.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ดุลการค้าในช่วงครึ่งแรกของปียังคงขาดดุล 5,242.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
บทวิเคราะห์มุมมอง Spotlight กับสถานการณ์และแนวทางแก้ไขปัญหาส่งออกไทย
การส่งออกของไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 เผชิญกับความท้าทายอย่างมาก โดยขยายตัวเพียง 2.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก, ภัยแล้งที่ส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตร, และปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยภายนอกที่ไทยควบคุมได้ยาก สำหรับ ประเด็นที่น่ากังวล ที่ Spotlight มองอาทิ
- ภาคเกษตรกรรมทรุดตัว: ผลผลิตทางการเกษตรลดลงอย่างมีนัยสำคัญอันเนื่องมาจากภัยแล้ง ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลไม้สด ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่การลดลงของรายได้ในภาคเกษตรกรรมและส่งผลกระทบต่อภาพรวมการส่งออกของประเทศ
- การชะลอตัวของตลาดหลัก: ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในประเทศคู่ค้าสำคัญ อาทิ จีน ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ส่งผลให้อุปสงค์ต่อสินค้านำเข้าลดลงอย่างเห็นได้ชัด
- ต้นทุนโลจิสติกส์ที่เพิ่มสูงขึ้น: ปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ทั่วโลกส่งผลให้ค่าระวางเรือปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพิ่มภาระต้นทุนให้กับผู้ส่งออกไทย
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางวิกฤตย่อมมีโอกาส หากไทยสามารถปรับตัวและรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ได้อย่างเหมาะสม ก็อาจสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสในการพัฒนาภาคการส่งออกให้แข็งแกร่งและยั่งยืนยิ่งขึ้น สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาที่เรามองมีดังนี้
- การกระจายตลาดส่งออก: ลดการพึ่งพาตลาดหลักเพียงไม่กี่แห่ง โดยแสวงหาโอกาสในตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ อาทิ ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ และแอฟริกา รวมถึงการใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่มีอยู่กับประเทศต่างๆ
- การพัฒนาสินค้าและบริการ: เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรด้วยการแปรรูปและสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง รวมถึงการพัฒนาสินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและนวัตกรรม เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงไป
- ส่งเสริมการค้าออนไลน์: ขยายช่องทางการขายและเข้าถึงลูกค้าทั่วโลกผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่การเดินทางและการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติยังคงมีข้อจำกัด
- การบริหารจัดการต้นทุนโลจิสติกส์: ร่วมมือกับภาคเอกชนในการบริหารจัดการและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ตู้คอนเทนเนอร์ รวมถึงการพัฒนาระบบขนส่งทางรางและทางน้ำ เพื่อลดการพึ่งพาการขนส่งทางเรือ
- การสนับสนุนผู้ส่งออก: ให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ข้อมูล และการฝึกอบรมแก่ผู้ส่งออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการ SMEs เพื่อให้สามารถปรับตัวและแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สุดท้ายนี้สถานการณ์การส่งออกของไทยในปัจจุบันยังคงมีความไม่แน่นอนสูง การแก้ไขปัญหาจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคเกษตรกรรม เพื่อร่วมกันปรับตัว พัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน และแสวงหาโอกาสในตลาดใหม่ๆ เพื่อให้การส่งออกของไทยสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว