ข่าวเศรษฐกิจ

ราคาอาหารและผลไม้พุ่ง! ตามราคาน้ำมัน ดันเงินเฟ้อไทยก.ค.สูงขึ้น 0.83%

8 ส.ค. 67
ราคาอาหารและผลไม้พุ่ง! ตามราคาน้ำมัน ดันเงินเฟ้อไทยก.ค.สูงขึ้น 0.83%

เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.83% จากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก ราคาอาหารที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอาหารสำเร็จรูป ผลไม้สด ข้าวสารเจ้า และข้าวสารเหนียว

แต่อัตราเงินเฟ้อของไทยก็ยังอยู่ในระดับต่ำ เป็นอันดับ 5 จาก 135 เขตเศรษฐกิจ และต่ำเป็นอันดับ 2 ของกลุ่มประเทศอาเซียน ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมิน อัตราเงินเฟ้อของไทยปีนี้อยู่ที่ระดับ 0.8% 

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของไทยส่งสัญญาณเตือนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นของคนไทยต่อสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยดัชนีความเชื่อมั่นโดยรวมปรับตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นในปัจจุบันร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายเดือน สวนทางกับอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคไทย ก.ค. 67 เศรษฐกิจชะลอตัว ฉุดความเชื่อมั่นลดฮวบ

ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของไทยในเดือนกรกฎาคม 2567 ปรับตัวสูงขึ้นแตะ 108.71 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.83 โดยปัจจัยหลักมาจากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงตามสถานการณ์ตลาดโลก และราคาอาหารที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอาหารสำเร็จรูป ผลไม้สด ข้าวสารเจ้า และข้าวสารเหนียว

อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อของไทยยังคงอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลเดือนมิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำที่สุด โดยอยู่ในอันดับที่ 5 จาก 135 เขตเศรษฐกิจ และต่ำเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มประเทศอาเซียน

สำหรับรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าและบริการในเดือนกรกฎาคม 2567 พบว่า หมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 1.27 โดยเฉพาะอาหารสำเร็จรูป ผลไม้บางชนิด เช่น เงาะ ทุเรียน มะม่วง กล้วยน้ำว้า แตงโม ฝรั่ง ข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว รวมถึงไข่ไก่ นม และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์บางชนิด ในขณะที่สินค้าบางรายการ เช่น เนื้อสุกร ปลาทู และผักบางชนิด มีราคาลดลง ในส่วนของหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 0.50 โดยมีสินค้าหลักที่ราคาเพิ่มขึ้นคือกลุ่มน้ำมันเชื้อเพลิง แต่ก็มีสินค้าหลายรายการที่ราคาลดลง เช่น ค่าไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกาย และเสื้อผ้าบางประเภท

นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งเป็นอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่หักอาหารสดและพลังงานออก ยังคงเร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนกรกฎาคม 2567 สูงขึ้นร้อยละ 0.52 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งสูงกว่าเดือนมิถุนายน 2567 ที่มีอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานร้อยละ 0.36

เมื่อพิจารณาการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าและบริการในเดือนกรกฎาคม 2567 เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2567 พบว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคโดยรวมสูงขึ้นร้อยละ 0.19 โดยมีปัจจัยหลักมาจากราคาอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ที่ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 0.18 โดยเฉพาะอาหารสำเร็จรูปและผลไม้สดบางชนิด เช่น เงาะ ส้มเขียวหวาน ฝรั่ง และกล้วยน้ำว้า ขณะที่ราคาผักสดบางชนิด ข้าวสารเจ้า และไก่ย่าง ปรับตัวลดลง ส่วนหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ราคาสูงขึ้นร้อยละ 0.21 โดยมีปัจจัยหลักมาจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น แต่สินค้าบางประเภท เช่น ของใช้ส่วนบุคคลและเสื้อผ้าบางชนิด กลับมีราคาลดลง

ดัชนีราคาผู้บริโภค เดือนกรกฎาคม 2567

ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของประเทศไทยประจำเดือนกรกฎาคม 2567 อยู่ที่ 108.71 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 107.82 ในเดือนกรกฎาคม 2566 ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.83 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ปัจจัยหลักที่ผลักดันให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นมาจากราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นตามสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก รวมถึงราคาสินค้าในหมวดอาหารที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะอาหารสำเร็จรูป ผลไม้สด ข้าวสารเจ้า และข้าวสารเหนียว สำหรับราคาสินค้าและบริการอื่นๆ นั้นมีผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อไม่มากนัก

ในรายละเอียดพบว่า หมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์มีอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.27 โดยมีการปรับราคาสูงขึ้นในหลายกลุ่มสินค้า ได้แก่

  • กลุ่มอาหารบริโภคในบ้าน: เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.51 โดยเฉพาะกับข้าวสำเร็จรูป ก๋วยเตี๋ยว ข้าวแกง/ข้าวกล่อง
  • กลุ่มผลไม้สด: เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.37 โดยเฉพาะเงาะ ทุเรียน มะม่วง กล้วยน้ำว้า แตงโม ฝรั่ง และองุ่น
  • กลุ่มข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง: เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.44 โดยเฉพาะข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว และขนมอบ
  • กลุ่มผักสด: เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.64 โดยเฉพาะมะเขือเทศ ต้นหอม ขิง ฟักทอง และแตงกวา
  • กลุ่มอาหารบริโภคนอกบ้าน: เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.58 โดยเฉพาะข้าวราดแกง อาหารตามสั่ง และอาหารเช้า
  • กลุ่มไข่และผลิตภัณฑ์นม: เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.89 โดยเฉพาะไข่ไก่ นมสด นมถั่วเหลือง และไข่เป็ด
  • กลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์: เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.79 โดยเฉพาะกาแฟผงสำเร็จรูป กาแฟ (ร้อน/เย็น) และน้ำหวาน
  • กลุ่มเครื่องประกอบอาหาร: เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.46 โดยเฉพาะน้ำตาลทราย กะทิสำเร็จรูป และมะพร้าว (ผลแห้ง/ขูด)

อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าบางรายการที่ราคาลดลง ได้แก่ กลุ่มเนื้อสัตว์ เป็ดไก่ และสัตว์น้ำ ซึ่งลดลงร้อยละ 2.20 โดยเฉพาะเนื้อสุกร ปลาทู และไก่ย่าง และนอกเหนือจากหมวดอาหารและเครื่องดื่มแล้ว หมวดสินค้าและบริการอื่นๆ ก็มีการปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 0.50 โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • หมวดพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร: ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 2.01 โดยมีปัจจัยหลักมาจากราคาแก๊สโซฮอล์ น้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน และค่ารถรับส่งนักเรียนที่เพิ่มขึ้น
  • หมวดการบันเทิง การอ่าน การศึกษา และการศาสนา: ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 0.60 โดยมีปัจจัยหลักมาจากราคาเครื่องถวายพระและค่าถ่ายเอกสารที่เพิ่มขึ้น
  • หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์: ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 1.53 โดยมีปัจจัยหลักมาจากราคาสุรา บุหรี่ เบียร์ และไวน์ที่เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังมีหมวดสินค้าและบริการบางประเภทที่ราคาปรับตัวลดลง ได้แก่

  • หมวดเคหสถาน: ปรับตัวลดลงร้อยละ 0.85 โดยมีปัจจัยหลักมาจากค่ากระแสไฟฟ้า ผงซักฟอก และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่างๆ ที่มีราคาลดลง
  • หมวดการตรวจรักษา และบริการส่วนบุคคล: ปรับตัวลดลงร้อยละ 0.38 โดยมีปัจจัยหลักมาจากราคาแชมพู สบู่ และผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ลดลง
  • หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า: ปรับตัวลดลงร้อยละ 0.54 โดยมีปัจจัยหลักมาจากราคาเสื้อยืดและเสื้อเชิ้ตทั้งบุรุษและสตรีที่ลดลง

นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (ซึ่งไม่รวมหมวดอาหารสดและพลังงาน) ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 0.52 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนกรกฎาคม 2567 สูงขึ้นร้อยละ 0.19 เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2567 และเมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ย 7 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม – กรกฎาคม) ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปสูงขึ้นร้อยละ 0.11 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือนกรกฎาคม 2567

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนกรกฎาคม 2567 ได้เผยให้เห็นถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นของคนไทย โดยปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 49.7 จาก 52.3 ในเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะดัชนีความเชื่อมั่นในปัจจุบันที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญมาอยู่ที่ 42.0 จาก 44.5

สาเหตุหลักของความเชื่อมั่นที่ลดลงนี้มาจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวลง อันเป็นผลมาจากความตึงเครียดในสถานการณ์การค้าโลกและอุปสงค์ภายในประเทศที่ลดลง โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์และอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ ปัญหาอุทกภัยที่สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อที่อยู่อาศัยและพื้นที่เกษตรกรรมในหลายพื้นที่ของประเทศ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค

ความกังวลต่อภาระค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความเชื่อมั่นลดลง โดยเฉพาะค่าไฟฟ้า ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และภาระหนี้สินครัวเรือนและธุรกิจที่ยังคงอยู่ในระดับสูง

อย่างไรก็ตาม แม้ดัชนีความเชื่อมั่นในปัจจุบันจะลดลง แต่ดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคต (3 เดือนข้างหน้า) ยังคงอยู่ในระดับที่เชื่อมั่น แม้จะปรับลดลงเล็กน้อยจาก 57.5 มาอยู่ที่ 54.8 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวของภาครัฐที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และความชัดเจนของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งเป็นสัญญาณบวกที่อาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและฟื้นฟูความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในระยะต่อไป 

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค พบว่า 

  • ด้านเศรษฐกิจไทย คิดเป็นร้อยละ 50.87 
  • ด้านมาตรการของภาครัฐ คิดเป็นร้อยละ 13.04
  • ด้านสังคม/ความมั่นคง คิดเป็นร้อยละ 7.88
  • ด้านราคาสินค้าเกษตร คิดเป็นร้อยละ 6.74
  • ด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิง คิดเป็นร้อยละ 6.49
  • ด้านเศรษฐกิจโลก คิดเป็นร้อยละ 6.28
  • ด้านการเมือง คิดเป็นร้อยละ 5.29
  • ด้านภัยพิบัติ/โรคระบาด คิดเป็นร้อยละ 1.43
  • ด้านอื่น ๆ คิดเป็นร้อยละ 1.98 

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค จำแนกรายภาค พบว่า 

  • กรุงเทพฯ และปริมณฑล ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากระดับ 52.6 มาอยู่ที่ระดับ 54.0
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปรับตัวลดลง จากระดับ 55.3 มาอยู่ที่ระดับ 52.1
  • ภาคกลาง ปรับตัวลดลง จากระดับ 52.9 มาอยู่ที่ระดับ 48.8
  • ภาคเหนือ ปรับตัวลดลง จากระดับ 49.8 มาอยู่ที่ระดับ 46.6
  • ภาคใต้ ปรับตัวลดลง จากระดับ 49.6 มาอยู่ที่ระดับ 47.2

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค จำแนกอาชีพ พบว่า 

  • พนักงานของรัฐ ปรับตัวลดลง จากระดับ 57.7 มาอยู่ที่ระดับ 53.8
  • ผู้ประกอบการ ปรับตัวลดลง จากระดับ 53.7 มาอยู่ที่ระดับ 51.1
  • นักศึกษา ปรับตัวลดลง จากระดับ 52.5 มาอยู่ที่ระดับ 51.1
  • เกษตรกร ปรับตัวลดลง จากระดับ 52.1 มาอยู่ที่ระดับ 49.8
  • พนักงานเอกชน ปรับตัวลดลง จากระดับ 51.3 มาอยู่ที่ระดับ 48.3
  • รับจ้างอิสระ ปรับตัวลดลง จากระดับ 49.2 มาอยู่ที่ระดับ 47.6
  • ไม่ได้ทำงาน/บำนาญ ปรับตัวลดลง จากระดับ 47.6 มาอยู่ที่ระดับ 44.9 

ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนส.ค.อาจจะปรับลดลงจากเดือนก.ค. เนื่องจากฐานที่สูง และคาดว่าจะกลับมาเร่งตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 4 และมองภาพรวมทั้งปีนี้ อัตราเงินเฟ้อของไทยปีนี้ น่าจะอยู่ที่ประมาณ 0.8% ส่วนในระยะข้างหน้าขึ่นอยู่กับทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก รวมถึง มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาพลังงานในประเทศของภาครัฐที่อาจเปลี่ยนแปลงไป

เมื่อพิจารณากลุ่มผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ดัชนีฯ ปรับลดลง จากระดับ 42.5 มาอยู่ที่ระดับ 40.9 และแม้ภาพรวมเศรษฐกิจและดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบันจะส่งสัญญาณที่น่ากังวล แต่ก็ยังมีปัจจัยบวกที่พอจะสร้างความหวังได้บ้าง ทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม การติดตามสถานการณ์และการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจยังคงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจ เพื่อให้สามารถรับมือกับความท้าทายและคว้าโอกาสที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT