ข่าวเศรษฐกิจ

ตัวเลขว่างงานไทยเพิ่ม 430,000 คน จับตาสภาพคล่องธุรกิจ SME

26 ส.ค. 67
ตัวเลขว่างงานไทยเพิ่ม 430,000 คน  จับตาสภาพคล่องธุรกิจ SME

สำนักงานสภาพํฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ ) แถลงภาวะสังคมไทยในไตรมาส 2/2567 พบว่า ภาพรวมสังคมไทยในไตรมาสที่สองของปี 2567 สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจหลายประการในภาคแรงงาน เศรษฐกิจ และสังคม

พบว่า อัตราการว่างงานก็ปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยเป็น 1.07% หรือคิดเป็นจำนวนผู้ว่างงาน 430,000 คน ซึ่งเป็นสัญญาณที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด

โดยอัตราการว่างงานก็ปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยเป็น 1.07% หรือคิดเป็นจำนวนผู้ว่างงาน 430,000 คน นั้น ภาคเกษตรกรรมจะเผชิญกับการจ้างงานที่ลดลงถึง 5% แต่ภาคธุรกิจนอกเกษตรกรรมกลับขยายตัวได้ถึง 1.5% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาการขนส่งและเก็บสินค้าที่เติบโตอย่างโดดเด่นถึง 9% ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกที่แข็งแกร่ง

ในภาพรวมภาวะสังคมไทยในไตรมาสที่สองของปี 2567 ยังคงมีความท้าทายและโอกาสผสมผสานกันไป การเตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การดูแลภาคธุรกิจ SMEs และการรับมือกับภัยธรรมชาติ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้เศรษฐกิจและสังคมไทยก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

จับตาภาพรวมแรงงานใกล้ชิด 

สำหรับประเด็น ที่ต้องติดตามในระยะถัดไป 

  1. การปรับตัวของแรงงานให้มีทักษะที่สอดคล้องกับทักษะที่จ าเป็นในอนาคต โดย WEF ระบุว่า ภายในปี 2027 งานในภาคธุรกิจกว่า 42% จะถูกทดแทนด้วยระบบอัตโนมัติ ขณะที่ผลการสำรวจ ของไมโครซอฟต์ประเทศไทยร่วมกับ LinkedIn พบว่า ผู้บริหารไทยกว่า 74% ไม่ต้องการจ้างพนักงานที่ไม่มี ทักษะทางด้าน AI 
  2. ผลกระทบของการขาดสภาพคล่องของ SMEs และปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น ต่อการจ้างงาน SMEs เป็นกลุ่มธุรกิจที่รองรับแรงงานไว้เป็นจำนวนมาก แต่ปัจจุบันประสบปัญหาสภาพคล่อง โดยมีสัดส่วนหนี้เสีย (NPLs) ต่อสินเชื่อรวม  7.2% ในไตรมาสสี่ ปี 2566 เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว อีกทั้ง ดัชนี ต้นทุนของธุรกิจรายย่อย (Micro) และธุรกิจขนาดกลาง (Medium) ยังเพิ่มขึ้น อาจน าไปสู่การเลิกจ้างแรงงานได้ 
  3. ผลกระทบของอุทกภัยต่อผลผลิตทางการเกษตรและรายได้ของเกษตรกร โดยอุทกภัยในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้มีพื้นที่เกษตรกรรมได้รับความเสียหายแล้ว 308,238 ไร่ ขณะที่ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม – กันยายน 2567 คาดว่าประเทศไทยจะมีฝนฟ้าคะนอง 60 - 80% ของพื้นที่ ซึ่งเสี่ยงที่ภาคเกษตรกรรมจะได้รับ ความเสียหายมากขึ้น และจะกระทบต่อรายได้ ต้นทุนการเพาะปลูก และความสามารถในการชำระหนี้ของเกษตรกร 

ทั้งนี้ ในไตรมาส 2/2567 ผู้มีงานทำมีจำนวนทั้งสิ้น 39.5 ล้านคน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2566  0.4%  เป็นผลจากการจ้างงานภาคเกษตรกรรมที่ลดลง 5.0% ขณะที่สาขานอกภาคเกษตรกรรมขยายตัวที่ 1.5% โดยสาขาการขนส่งและเก็บสินค้าปรับตัวดีขึ้น 9.0% ขณะที่สาขาโรงแรมและภัตตาคารยังคงขยายตัวได้ดี ที่ 4.9% 

โดยมีปัจจัยสำคัญจากการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ สาขาการผลิตปรับตัวดีขึ้นตามสถานการณ์ การส่งออก ส่วนสาขาก่อสร้างขยายตัวชะลอลงตามการหดตัวของอุปสงค์ต่อที่อยู่อาศัย ชั่วโมงการทำงานค่อนข้าง ทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยภาพรวมและเอกชนอยู่ที่ 42.8 และ 46.6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

หนี้สินครัวเรือนในไตรมาสหนึ่ง ปี 2567

ภาพรวมหนี้สินครัวเรือนในไตรมาสแรกของปี 2567 เผยให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่น่าจับตา แม้ว่าการขยายตัวของหนี้ครัวเรือนจะชะลอลงเหลือเพียง 2.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่ก็ยังคงมีมูลค่าสูงถึง 16.37 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 90.8% ของ GDP ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงภาระหนี้ที่ยังคงหนักอึ้งสำหรับครัวเรือนไทย 

ประเด็นต้องจับตา คือ การเร่งปรับโครงสร้างหนี้ลูกหนี้ บัตรเครดิตที่เริ่มมีปัญหาการชำระหนี้คืน และการกู้นอกระบบที่หลากหลายและเข้าถึงง่ายอาจก่อให้เกิดพฤติกรรมการก่อหนี้เกินตัว  

นอกจากนี้ สัญญาณเตือนที่สำคัญคือคุณภาพของสินเชื่อที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหนี้เสียในกลุ่มสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้นเป็น 2.99% ของสินเชื่อรวม ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5 ติดต่อกัน สถานการณ์ดังกล่าวบ่งชี้ถึงความยากลำบากของครัวเรือนในการชำระหนี้คืน และอาจนำไปสู่ปัญหาหนี้เสียที่รุนแรงขึ้นในอนาคต

ประเด็นที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ คือ กลุ่มลูกหนี้บัตรเครดิตที่อาจได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราการจ่ายขั้นต่ำ และการเข้าถึงสินเชื่อนอกระบบที่ง่ายดายผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งอาจล่อให้เกิดพฤติกรรมการก่อหนี้เกินตัว โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อาจขาดความเข้าใจในเรื่องการบริหารจัดการเงิน

ภาพรวมหนี้ครัวเรือนในไตรมาสแรกของปี 2567 จึงเป็นสัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม ทั้งภาครัฐและสถาบันการเงินต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่กำลังประสบปัญหา และส่งเสริมให้เกิดวินัยทางการเงินอย่างยั่งยืนในสังคมไทย

ภาวะสังคมไทยครึ่งปีหลัง 67 จับตา 5 ประเด็นร้อน เศรษฐกิจ-สุขภาพ-ความเท่าเทียม

โดยรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 2 ปี 2567 เผยให้เห็นภาพความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และความเป็นอยู่ของประชาชน แม้เศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัว แต่ก็ยังมีความท้าทายรออยู่ข้างหน้า ทั้งปัญหาหนี้สินครัวเรือน การระบาดของโรคต่างๆ และภัยคุกคามในโลกออนไลน์ ขณะเดียวกัน สังคมไทยกำลังก้าวสู่ความเท่าเทียมและยั่งยืนมากขึ้นด้วยกฎหมายสมรสเท่าเทียมและความตระหนักถึงผลกระทบของธุรกิจ Fast Fashion ต่อสิ่งแวดล้อม 

การเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังในไตรมาสสอง ปี 2567

สถานการณ์การเจ็บป่วยในประเทศไทยช่วงไตรมาสสองของปี 2567 น่าเป็นห่วง โดยพบว่าจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังเพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 72.1% ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากโรคที่มักระบาดในฤดูฝน เช่น ไข้หวัดใหญ่และปอดอักเสบ นอกจากนี้ ยังมีประเด็นสุขภาพที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ได้แก่

  • โรคหอบหืด: จำนวนผู้ป่วยโรคนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจสะท้อนถึงปัญหาคุณภาพอากาศหรือปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่ต้องได้รับการแก้ไข
  • โรคไข้มาลาเรีย: การเฝ้าระวังและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคนี้ยังคงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อป้องกันการกลับมาระบาดในวงกว้าง
  • โรคหลอดเลือดสมอง: จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพและป้องกันโรค

ในขณะเดียวกัน การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็เพิ่มขึ้นถึง 3.2% ในไตรมาสนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพบว่าเด็กและเยาวชนยังคงมีพฤติกรรมการดื่มที่เพิ่มขึ้น แม้จะมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ปัญหาการลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง

ภาพรวมสถานการณ์สุขภาพในไตรมาสที่สองของปี 2567 จึงเป็นเครื่องเตือนใจให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันเพื่อยกระดับสุขภาพของคนไทย ทั้งการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อ การส่งเสริมสุขภาพที่ดี และการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ เพื่อให้คนไทยทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน

ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินในไตรมาสสอง ปี 2567 

สถานการณ์ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินในช่วงไตรมาสสองของปี 2567 ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด แม้ว่าการรับแจ้งอุบัติเหตุทางถนนโดยรวมจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่คดีอาญากลับเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจถึง 26.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะคดียาเสพติด คดีประทุษร้ายต่อทรัพย์ และคดีที่เกี่ยวข้องกับชีวิต ร่างกาย และเพศ

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นปัญหาเชิงสังคมที่น่าเป็นห่วงและต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เช่น การละเมิดสิทธิเด็กและเยาวชนโดยบุคลากรในสถานศึกษา ซึ่งพบว่ามีจำนวนสูงถึง 2,618 กรณีในปี 2566 และการพนันกีฬาที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะการพนันฟุตบอลที่เพิ่มขึ้นถึง 449.7% ในไตรมาสนี้

ในขณะเดียวกัน แม้ว่าการร้องเรียนของผู้บริโภคโดยรวมจะลดลง แต่ก็ยังมีปัญหาที่ต้องจับตามอง เช่น การผลักภาระให้ผู้บริโภคต้องถ่ายวิดีโอขณะเปิดพัสดุเพื่อเป็นหลักฐานในการเคลมสินค้า และความเสี่ยงจากการใช้บริการจำนำ iCloud ที่อาจนำไปสู่การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล

ภาพรวมสถานการณ์ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินในไตรมาสที่สองของปี 2567 จึงยังคงมีความท้าทายอยู่มาก ทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาสังคมต้องร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านี้อย่างจริงจัง เพื่อสร้างสังคมที่ปลอดภัยและเป็นธรรมสำหรับทุกคน

Festival Economy ขับเคลื่อนอย่างไรให้ปัง

เทศกาลในยุคปัจจุบันไม่ใช่แค่กิจกรรมบันเทิง แต่กลายเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ด้วยมูลค่าตลาดทั่วโลกที่คาดว่าจะสูงถึง 1.63 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยเองก็เล็งเห็นศักยภาพนี้ และพยายามผลักดัน Festival Economy ให้เป็นกลไกสำคัญในการสร้างรายได้ กระจายรายได้สู่ชุมชน และเผยแพร่วัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของไทยสู่สายตาชาวโลก

อย่างไรก็ตาม การจะทำให้ Festival Economy ไทย "ปัง" ได้นั้น ต้องอาศัยการวางแผนและดำเนินงานอย่างรอบด้าน เริ่มจากการสร้างจุดขายที่โดดเด่นและแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอวัฒนธรรมท้องถิ่นในรูปแบบที่สร้างสรรค์ หรือการสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร เช่นเดียวกับเทศกาลริโอ คาร์นิวัล ที่มีชื่อเสียงจากการเต้นแซมบ้า หรือเทศกาลปามะเขือเทศที่เกิดจากเรื่องราวที่ไม่คาดคิด

นอกจากนี้ การสร้างความเชื่อมั่นในด้านความปลอดภัยก็เป็นสิ่งสำคัญ เทศกาลระดับโลกอย่างริโอ คาร์นิวัล และปามะเขือเทศ ต่างให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยและการจัดการเหตุฉุกเฉินอย่างเข้มงวด รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาช่วยในการตรวจตราและป้องกันเหตุร้าย

สิ่งอำนวยความสะดวกก็เป็นอีกปัจจัยที่ไม่ควรมองข้าม การมีระบบขนส่งที่เชื่อมต่อกับสถานที่จัดงาน การออกแบบพื้นที่ให้รองรับผู้พิการ และการจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อย่างครบครัน จะช่วยยกระดับประสบการณ์ของผู้เข้าร่วมงานและดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น

การประชาสัมพันธ์และการตลาดก็มีบทบาทสำคัญในการทำให้เทศกาลเป็นที่รู้จักและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย การใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อทำความเข้าใจผู้ชม และการใช้สื่อโซเชียลมีเดียในการประชาสัมพันธ์ จะช่วยเพิ่มการรับรู้และกระตุ้นความสนใจของผู้คนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สุดท้าย การสนับสนุนจากภาครัฐและการร่วมมือกับภาคเอกชนและชุมชนท้องถิ่นเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ Festival Economy ไทยประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน การบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จะช่วยให้เทศกาลเป็นมากกว่าแค่กิจกรรมบันเทิง แต่เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยไปพร้อมๆ กัน

ภัยร้ายในโลกเสมือน  การคุกคามทางเพศต่อเด็กและเยาวชนในโลกไซเบอร์

การคุกคามทางเพศต่อเด็กและเยาวชนในโลกไซเบอร์กำลังกลายเป็นภัยร้ายที่แฝงตัวอยู่ในโลกเสมือนอย่างน่าวิตก สถิติที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของคดีที่เกี่ยวข้อง สะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงของปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อเด็กและเยาวชนทั้งทางร่างกายและจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการปรับตัวเข้าสังคม ความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า หรือแม้กระทั่งปัญหาอาชญากรรมที่อาจเกิดขึ้นตามมา

การคุกคามทางเพศออนไลน์มีหลายระดับ ตั้งแต่การก่อกวนเล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงการล่วงละเมิดทางเพศอย่างชัดเจน ซึ่งในหลายกรณี ผู้กระทำอาจไม่ได้ตระหนักถึงผลกระทบร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับเหยื่อ บางส่วนอาจเป็นเพราะการพบเห็นพฤติกรรมเหล่านี้ในชีวิตประจำวัน หรือการขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิเด็กและช่องทางการช่วยเหลือ

รายงานของ UNICEF ในปี 2565 ชี้ให้เห็นว่าเด็กและเยาวชนจำนวนมากไม่ทราบว่าจะขอความช่วยเหลือจากใครหากตนเองหรือเพื่อนตกเป็นเหยื่อ นอกจากนี้ ความรู้สึกอับอายก็เป็นอีกหนึ่งอุปสรรคที่ทำให้เด็กไม่กล้าเปิดเผยหรือแจ้งความ ทำให้ปัญหาการคุกคามทางเพศออนไลน์ยังคงเป็นปัญหาที่ถูกซุกซ่อนไว้ใต้พรม

เพื่อแก้ไขปัญหานี้ จำเป็นต้องมีมาตรการที่ครอบคลุมและจริงจัง เริ่มตั้งแต่การปลูกฝังทัศนคติที่ไม่เพิกเฉยต่อการคุกคามทางเพศในทุกระดับ ตั้งแต่สถาบันครอบครัวไปจนถึงสังคมโดยรวม การให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิเด็กและความเสี่ยงจากการถูกคุกคามทางเพศออนไลน์ก็เป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่รูปแบบการคุกคามมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว

การสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจในภัยคุกคามดิจิทัลจึงเป็นสิ่งที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว สถาบันการศึกษา หรือหน่วยงานภาครัฐ เพื่อปกป้องเด็กและเยาวชนจากภัยร้ายในโลกเสมือน และสร้างสังคมออนไลน์ที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน

Fast Fashion และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

Fast Fashion หรือแฟชั่นที่หมุนเวียนเร็วราวกับสายลม แม้จะสร้างงานและรายได้ให้กับผู้คนทั่วโลก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเบื้องหลังความรวดเร็วและราคาที่จับต้องได้นั้น คือผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมที่ไม่อาจมองข้าม

เริ่มจากผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อุตสาหกรรม Fast Fashion ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คิดเป็นสัดส่วนถึง 10% ของการปล่อยทั่วโลก ซึ่งมากกว่าอุตสาหกรรมการบินและการขนส่งทางเรือรวมกันเสียอีก และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเกือบ 50% ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า นอกจากนี้ การใช้น้ำจำนวนมหาศาลในการผลิตและการปล่อยสารเคมีอันตรายจากกระบวนการย้อมและตกแต่ง ก็สร้างมลภาวะต่อแหล่งน้ำและอากาศอย่างรุนแรง

ขยะสิ่งทอที่ย่อยสลายยากก็เป็นอีกปัญหาใหญ่ เสื้อผ้ากว่า 92 ล้านตันถูกทิ้งลงหลุมฝังกลบในแต่ละปี และตัวเลขนี้กำลังจะเพิ่มขึ้นเป็น 134 ล้านตันภายในปี 2576 ยิ่งไปกว่านั้น ไมโครพลาสติกที่ปนเปื้อนในเสื้อผ้ายังส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศทางทะเล

ในด้านสังคม Fast Fashion สร้างวัฒนธรรมการบริโภคเกินพอดี ส่งเสริมให้คนซื้อมากกว่าที่จำเป็นผ่านการโฆษณาและการตลาดที่เชิญชวน นอกจากนี้ การละเมิดลิขสิทธิ์และการละเมิดสิทธิแรงงานก็เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในอุตสาหกรรมนี้

เพื่อรับมือกับผลกระทบเหล่านี้ หลายประเทศทั่วโลกเริ่มออกมาตรการควบคุมและส่งเสริมการผลิตที่ยั่งยืนมากขึ้น ประเทศไทยเองก็จำเป็นต้องปรับตัวและดำเนินมาตรการต่างๆ เช่น การสนับสนุนอุตสาหกรรมสิ่งทอให้หันมาใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมการรีไซเคิลและการจัดการขยะสิ่งทออย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการกำกับดูแลการโฆษณาและการตลาดให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังจะช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย และส่งเสริมให้ผู้บริโภคตระหนักถึงคุณค่าของสินค้าและการบริโภคอย่างรับผิดชอบ

เตรียมตัวอย่างไร ให้พร้อมสำหรับการสมรสเท่าเทียม

การผ่านร่างพระราชบัญญัติสมรสเท่าเทียมถือเป็นก้าวสำคัญของสังคมไทย ที่จะทำให้คู่รัก LGBTQ+ มีสิทธิและความเท่าเทียมทางกฎหมายเหมือนคู่รักชายหญิง ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการสร้างครอบครัว รับบุตรบุญธรรม จัดการทรัพย์สินและมรดก รวมถึงสิทธิในการดูแลกันและกันในฐานะคู่ชีวิต นอกจากนี้ ยังเปิดทางให้คู่รักเพศเดียวกันสามารถเข้าถึงสวัสดิการต่างๆ ทั้งจากภาครัฐและเอกชนได้อย่างเท่าเทียม

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อคู่รัก LGBTQ+ เท่านั้น แต่ยังคาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้อีกด้วย จากการประมาณการ พบว่ากฎหมายนี้อาจทำให้มีคู่รักเพศเดียวกันจดทะเบียนสมรสเพิ่มขึ้นราว 12,000 คู่ต่อปี สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับงานแต่งงานได้ถึง 1.7 พันล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ ยังส่งผลดีต่อสังคมในภาพรวม ทั้งในแง่ของความมั่นคงในครอบครัว การลดปัญหาเด็กถูกทอดทิ้ง และการสร้างความเข้าใจและยอมรับความหลากหลายทางเพศในสังคม

อย่างไรก็ตาม การจะทำให้กฎหมายนี้บังคับใช้ได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีการเตรียมความพร้อมในหลายด้าน ทั้งการทบทวนและปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกว่า 51 ฉบับ การเตรียมความพร้อมด้านทะเบียนและเอกสารต่างๆ ของหน่วยงานภาครัฐ การพิจารณาสิทธิของบุตรบุญธรรมที่อาจต้องได้รับการปรับปรุง และการส่งเสริมความเข้าใจและการยอมรับความหลากหลายทางเพศในสังคม

นอกจากนี้ ภาคธุรกิจก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน ทั้งการทำความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคกลุ่ม LGBTQ+ เพื่อพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดที่ตอบโจทย์ และการสร้างธุรกิจใหม่ๆ ที่รองรับความต้องการของกลุ่มนี้

การสมรสเท่าเทียมไม่ใช่แค่เรื่องของกฎหมาย แต่เป็นการสร้างสังคมที่เปิดกว้าง ยอมรับความแตกต่าง และให้โอกาสทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน การเตรียมความพร้อมอย่างรอบด้านจากทุกภาคส่วน จะช่วยให้เราสามารถก้าวไปสู่สังคมที่เป็นธรรมและเท่าเทียมกันอย่างแท้จริง

สรุปรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 2 ปี 2567

ฉายภาพให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายที่สังคมไทยกำลังเผชิญ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สาธารณสุข ความปลอดภัย และสังคม แม้ว่าเศรษฐกิจจะมีสัญญาณฟื้นตัว แต่ก็ยังมีความเปราะบางจากหนี้ครัวเรือนที่สูงและปัญหาสภาพคล่องของ SMEs ขณะเดียวกัน ปัญหาสุขภาพ การละเมิดสิทธิ และภัยคุกคามออนไลน์ก็ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องได้รับการแก้ไข

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ ก็ยังมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ กฎหมายสมรสเท่าเทียมและความตื่นตัวเรื่อง Fast Fashion สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการในทางบวกของสังคมไทย ที่กำลังมุ่งหน้าสู่ความเท่าเทียมและความยั่งยืนมากขึ้น การจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายเหล่านี้ได้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ในการร่วมกันสร้างมาตรการและนโยบายที่เหมาะสม เพื่อนำพาประเทศไทยไปสู่สังคมที่แข็งแกร่ง ยั่งยืน และเป็นธรรมสำหรับทุกคน

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT