ข่าวเศรษฐกิจ

แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 อ่อนแรง ท้าทาย ต้องปรับตัว รับมรสุมรอบด้าน

16 ก.ย. 67
แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 อ่อนแรง ท้าทาย ต้องปรับตัว รับมรสุมรอบด้าน

ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและปัจจัยภายในประเทศที่ซับซ้อน เศรษฐกิจไทยในปี 2568 กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญ แม้ว่าภาคการท่องเที่ยวจะเริ่มฟื้นตัว แต่แรงขับเคลื่อนอื่น ๆ กลับอ่อนแรงลง ทั้งการส่งออกที่ชะลอตัว การลงทุนที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และกำลังซื้อภายในประเทศที่เปราะบาง บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2568 วิเคราะห์ความท้าทายเชิงโครงสร้างที่ภาคธุรกิจต้องเผชิญ และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยและค่าเงินบาทที่คาดการณ์โดย SCB EIC พร้อมเตรียมรับมือกับความผันผวนและปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในอนาคต

แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 อ่อนแรง ท้าทาย ต้องปรับตัว รับมรสุมรอบด้าน

แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 อ่อนแรง ท้าทาย ต้องปรับตัว รับมรสุมรอบด้าน

แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะแสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 แต่แนวโน้มการชะลอตัวในช่วงครึ่งหลังของปีก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้ โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวที่ 2.7% ตลอดทั้งปี และอาจเร่งขึ้นเล็กน้อยเป็น 2.8% ในปี 2568 อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ซึ่งมีอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามอง แม้จะมีความเสี่ยง แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้สูงที่เศรษฐกิจโลกจะสามารถดำเนินไปสู่การลงจอดอย่างนุ่มนวล (Soft landing) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากแรงส่งที่ดีของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักในช่วงครึ่งปีแรก และข้อมูลล่าสุดที่บ่งชี้ถึงการเติบโตในอนาคต

ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจโลกคือการที่ธนาคารกลางหลัก ๆ จะทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง ซึ่งจะช่วยลดโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย คาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงรวม 200 BPS ในช่วงที่เหลือของปี 2567 และปี 2568 ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกรวม 150 BPS การลดอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นความต้องการบริโภคทั้งในและต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยทางการเมืองระหว่างประเทศอาจส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเติบโตในอัตราชะลอลงและมีความเปราะบางมากขึ้นในระยะปานกลาง ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้ออาจนำไปสู่การปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานและการค้าโลก รวมถึงการออกมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเศรษฐกิจหลัก ๆ ไม่สามารถกลับไปอยู่ในระดับต่ำเช่นในอดีตได้ นอกจากนี้ ผลการเลือกตั้งทั่วไปในสหรัฐฯ ปลายปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง อาจส่งผลให้โลกแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจและห่วงโซ่อุปทานเร็วขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางการค้าโลกในอนาคต

แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 อ่อนแรง ท้าทาย ต้องปรับตัว รับมรสุมรอบด้าน

SCB EIC คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2567 และ 2568 เติบโตต่ำ

SCB EIC ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในระดับต่ำในปี 2567 และ 2568 ที่ 2.5% และ 2.6% ตามลำดับ โดยภาคการท่องเที่ยวจะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่เหลืออยู่ แม้ว่าคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติถึง 39.4 ล้านคนในปี 2568 แต่การเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวยังคงถูกกดดันจากแนวโน้มการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนแบบกรุ๊ปทัวร์ที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ นอกจากนี้ การส่งออกไทยในปี 2568 คาดว่าจะเติบโตต่ำกว่าในอดีต เนื่องจากความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง ภาคอุตสาหกรรมแม้จะเริ่มฟื้นตัวตามการส่งออกสินค้าที่ปรับตัวดีขึ้นบ้าง แต่ยังคงเผชิญแรงกดดันจากสินค้าคงคลังที่สูงและอุปสงค์ในประเทศที่เปราะบาง การลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะหดตัวเล็กน้อยในปีนี้ แต่จะกลับมาขยายตัวได้ในปีหน้าตามมูลค่าการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนของ Board of Investment ที่ปรับตัวดีขึ้นมาก อย่างไรก็ตาม การลงทุนโดยรวมจะยังเติบโตได้ไม่มากนัก เนื่องจากภาคก่อสร้างยังมีแนวโน้มขยายตัวต่ำและการลงทุนยานพาหนะที่ยังคงฟื้นตัวจากภาวะสินเชื่อตึงตัว

สำหรับการบริโภคภาคเอกชน คาดว่าจะชะลอตัวลงมากในสินค้าคงทน โดยเฉพาะยอดขายรถยนต์ที่หดตัวต่อเนื่อง ประกอบกับรายได้ภาคเกษตรมีแนวโน้มกลับมาหดตัวตามทิศทางราคาสินค้าเกษตรสำคัญที่จะลดลงในปีหน้า นอกจากนี้ ยังมีแรงกดดันจากสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่ชะลอตัวลงต่อเนื่องเนื่องจากคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลง สอดคล้องกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อเศรษฐกิจไทยปีหน้าจากผลสำรวจ SCB EIC Consumer survey 2567 ที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้บริโภคมีแนวโน้มจะลดการใช้จ่ายสินค้าและบริการที่ไม่จำเป็นลง

การกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของรัฐบาลจะมีข้อจำกัดมากขึ้นเนื่องจากภาระการคลังที่สูง แม้ว่าโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลจะใช้วงเงินสูง แต่ SCB EIC ประเมินว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่เต็มที่และเป็นเพียงมาตรการระยะสั้น ส่งผลให้หนี้สาธารณะไทยอาจมีแนวโน้มชนเพดานในปี 2570 สำหรับ นโยบายเศรษฐกิจเร่งด่วนของ ครม. ชุดใหม่มุ่งเน้นไปที่ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจกลุ่มเปราะบาง ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค ท่องเที่ยว และภาคเกษตร ขณะที่ธุรกิจที่มีแรงงานขั้นพื้นฐานในสัดส่วนสูงจะได้รับผลกระทบด้านต้นทุน และธุรกิจพลังงานอาจได้รับผลกระทบด้านรายได้ สำหรับนโยบายส่งเสริมความสามารถในการแข่งขัน จะส่งผลดีต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรมที่สอดรับกับเทรนด์โลก และอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ส่วนนโยบายสิ่งแวดล้อมจะเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสให้หลายธุรกิจต้องปรับตัว

ภาคธุรกิจไทยยังต้องเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้าง

ภาคธุรกิจไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายจากหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งอาจสูญเสียกำลังการผลิตในประเทศไปถึง 40% หากไม่สามารถปรับตัวให้ทันกับกระแสนิยมที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ ผู้ประกอบการ SME ก็กำลังเผชิญกับแรงกดดันจากกำลังซื้อในประเทศที่เปราะบาง และการแข่งขันจากสินค้านำเข้า รวมถึงปัญหาจากกระบวนการผลิตและการตลาดที่ล้าสมัย เพื่อให้ภาคธุรกิจเหล่านี้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน จำเป็นต้องมีทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น และนโยบายที่มุ่งเน้นการยกระดับความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยและค่าเงินบาท

แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 อ่อนแรง ท้าทาย ต้องปรับตัว รับมรสุมรอบด้าน

SCB EIC คาดการณ์ว่า กนง. จะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนธันวาคม และจะลดลงต่อเนื่องในช่วงต้นปีหน้าจนถึงระดับ 2% เนื่องจากสัญญาณอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะการเงินตึงตัวที่ยาวนาน ในส่วนของค่าเงินบาท ช่วงที่ผ่านมาแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ราคาทองคำสูงขึ้น และความกังวลทางการเมืองในประเทศไทยคลี่คลายลง อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น ค่าเงินบาทอาจอ่อนค่าลงเล็กน้อยเนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ก่อนที่จะกลับสู่แนวโน้มแข็งค่าตามวัฏจักรผ่อนคลายนโยบายการเงินของสหรัฐฯ คาดการณ์ว่า ณ สิ้นปี 2567 และ 2568 ค่าเงินบาทจะอยู่ในกรอบ 34 - 34.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และ 33 - 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ

เศรษฐกิจไทยปี 2568 จุดเปลี่ยนที่ต้องปรับตัว

ปี 2568 นับเป็นปีที่เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างมาก ทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความผันผวนทางการเมืองระหว่างประเทศ และปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศ ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความท้าทาย ยังมีโอกาสอยู่เสมอ ภาคการท่องเที่ยวที่กำลังฟื้นตัว การปรับลดอัตราดอกเบี้ย และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ล้วนเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจไทย สิ่งสำคัญคือการที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และประชาชน เพื่อปรับตัวรับมือกับความผันผวน และสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

เราต้องไม่ลืมว่าความท้าทายมักเป็นแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนา ปี 2568 จึงเป็นปีที่ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัว พัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเศรษฐกิจ เพื่อให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT