แม้จะมีความท้าทายทางเศรษฐกิจและการเมืองในช่วงที่ผ่านมา แต่ภาพรวมธุรกิจไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเดือนกรกฎาคม 2567 ที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจ
บทความนี้ SPOTLIGHT จะพาคุณไปสำรวจข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการเติบโตของธุรกิจไทย ทั้งในแง่ของการจัดตั้งธุรกิจใหม่ การเลิกกิจการ แนวโน้มของธุรกิจบริการ และการลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อให้คุณเห็นภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันและโอกาสสำหรับอนาคต
กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผยข้อมูลล่าสุด ธุรกิจไทยยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยในเดือนกรกฎาคม 2567 มียอดจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่สูงถึง 7,837 ราย เพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อน และเมื่อนับรวม 7 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-กรกฎาคม 2567) มีธุรกิจใหม่เกิดขึ้นแล้วถึง 54,220 ราย เพิ่มขึ้น 0.16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
การเติบโตนี้น่าจะได้รับแรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว รวมถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่เริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น นอกจากนี้ เมื่อมองย้อนกลับไปในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าธุรกิจบริการกลายเป็นดาวเด่น มีสัดส่วนการจัดตั้งใหม่สูงกว่าครึ่งหนึ่งของธุรกิจทั้งหมด แถมยังทำกำไรได้สูงกว่าธุรกิจกลุ่มการผลิตและค้าส่ง/ค้าปลีก ซึ่งเคยเป็นธุรกิจยอดนิยมในอดีต นี่แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของโครงสร้างธุรกิจไทยที่น่าสนใจ
อีกหนึ่งธุรกิจที่น่าจับตามอง คือ ธุรกิจสมุนไพรไทย ซึ่งกำลังได้รับความสนใจจากผู้บริโภคต่างชาติ ด้วยจุดแข็งด้านภูมิปัญญาไทย แหล่งวัตถุดิบที่อุดมสมบูรณ์ และกระแสไวรัลจากการที่บุคคลมีชื่อเสียงระดับโลกใช้สินค้าไทย นี่จึงเป็นโอกาสทองที่จะผลักดันสมุนไพรไทยให้กลายเป็น Soft Power ของประเทศ
ธุรกิจไทยยังเดินหน้า! ก.ค. 67 จดทะเบียนใหม่พุ่ง 14% ก่อสร้าง-อสังหาฯ-ร้านอาหารนำโด่ง
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เผยว่า ในเดือนกรกฎาคม 2567 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นไตรมาส 3 ของปี การจัดตั้งธุรกิจใหม่ยังคงคึกคัก ท่ามกลางปัจจัยทางเศรษฐกิจทั้งบวกและลบที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุน ไม่ว่าจะเป็นนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ รวมถึงสถานการณ์ทางการเมือง
ข้อมูลสถิติการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนกรกฎาคม 2567
มีจำนวนทั้งสิ้น 7,837 ราย เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา
มูลค่าทุนจดทะเบียนรวม 23,704.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา
3 ธุรกิจยอดนิยม ได้แก่
- ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป (615 ราย, ทุนจดทะเบียน 2,055.87 ล้านบาท)
- ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (534 ราย, ทุนจดทะเบียน 1,608.64 ล้านบาท)
- ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร (367 ราย, ทุนจดทะเบียน 798.51 ล้านบาท)
ธุรกิจที่มีทุนจดทะเบียนสูง
นอกจากนี้ ในเดือนกรกฎาคม 2567 ยังมีธุรกิจที่มีทุนจดทะเบียนจัดตั้งเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 2 ราย ได้แก่ ธุรกิจศูนย์เก็บข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (Data Center) และธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในภาคธุรกิจดิจิทัลและโครงสร้างพื้นฐาน
อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจใหม่ในช่วงนี้ ประกอบด้วย นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่มีความชัดเจนมากขึ้น
ภาพรวมการจัดตั้งและเลิกประกอบธุรกิจในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567
การจัดตั้งธุรกิจใหม่ แนวโน้มและปัจจัยที่มีอิทธิพล
ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม-กรกฎาคม) มีการจัดตั้งธุรกิจใหม่จำนวน 54,220 ราย เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.16% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 แม้จำนวนธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้น แต่ทุนจดทะเบียนรวมกลับลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึง 62.10% คิดเป็นมูลค่า 168,783.20 ล้านบาท
การลดลงอย่างมากของทุนจดทะเบียนนี้มีสาเหตุหลักมาจากการควบรวมและแปรสภาพของธุรกิจขนาดใหญ่ 2 รายในปี 2566 ซึ่งมีทุนจดทะเบียนรวมกันเกิน 100,000 ล้านบาท เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าแม้จำนวนธุรกิจใหม่จะเพิ่มขึ้น แต่ขนาดและมูลค่าของธุรกิจที่จัดตั้งใหม่มีแนวโน้มลดลง ซึ่งอาจเป็นผลมาจากสภาวะเศรษฐกิจหรือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางธุรกิจ
ประเภทธุรกิจที่ได้รับความนิยมในการจัดตั้งสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์, ก่อสร้างอาคารทั่วไป และภัตตาคาร/ร้านอาหาร ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่อยู่อาศัยและโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการฟื้นตัวของภาคบริการหลังจากสถานการณ์โควิด-19
การเลิกประกอบกิจการ สัญญาณเตือนหรือการปรับตัวทางธุรกิจ?
ในเดือนกรกฎาคม 2567 มีการจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการจำนวน 1,890 ราย เพิ่มขึ้น 1.23% เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม 2566 โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนรวม 8,831.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.31% การเพิ่มขึ้นของทั้งจำนวนและมูลค่าทุนจดทะเบียนเลิกอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงความท้าทายที่ธุรกิจกำลังเผชิญ เช่น ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว, การแข่งขันที่รุนแรง หรือต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาภาพรวม 7 เดือนแรกของปี 2567 จำนวนธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการรวม 7,929 ราย ลดลง 11.55% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าสถานการณ์โดยรวมของภาคธุรกิจกำลังปรับตัวดีขึ้น
ถึงกระนั้น มูลค่าทุนจดทะเบียนเลิกกลับเพิ่มขึ้น 49.79% เป็น 85,579.40 ล้านบาท การเพิ่มขึ้นนี้ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเลิกกิจการของธุรกิจขนาดใหญ่ 5 ราย ซึ่งมีทุนจดทะเบียนรวมกันกว่า 54,214.05 ล้านบาท หากไม่นับรวมธุรกิจเหล่านี้ สัดส่วนการเลิกกิจการจะอยู่ที่ประมาณ 18% ของการจัดตั้งธุรกิจ ซึ่งใกล้เคียงกับสัดส่วนในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ที่มีสัดส่วน 17% ของการจัดตั้งธุรกิจ
การเลิกกิจการของธุรกิจขนาดใหญ่อาจเป็นผลมาจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ, การควบรวมกิจการ หรือการตัดสินใจทางธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่ได้สะท้อนถึงปัญหาโดยรวมของภาคธุรกิจ ประเภทธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการมากที่สุด 3 อันดับแรกในช่วง 7 เดือนแรก ได้แก่ ก่อสร้างอาคารทั่วไป, อสังหาริมทรัพย์ และภัตตาคาร/ร้านอาหาร
ธุรกิจบริการไทย พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่
เมื่อมองย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจในภาคธุรกิจของไทย กลุ่มธุรกิจขายส่ง/ปลีก และการผลิตที่เคยเป็นแกนหลัก ได้เปลี่ยนผ่านไปสู่ ‘กลุ่มธุรกิจบริการ’ ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนการจัดตั้งมากกว่าครึ่งหนึ่งของธุรกิจทั้งหมด โดยธุรกิจบริการส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดเล็ก (S) คิดเป็น 99.22% รองลงมาคือธุรกิจขนาดกลาง (M) 0.52% และขนาดใหญ่ (L) 0.26% ตามลำดับ ธุรกิจบริการที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์, ภัตตาคาร/ร้านอาหาร และขนส่งและขนถ่ายสินค้า
ในปี 2566 ธุรกิจบริการสร้างรายได้ถึง 11.04 ล้านล้านบาท เติบโต 3.80% จากปี 2565 และยังสามารถทำกำไรได้สูงสุด คิดเป็น 7.24% ของรายได้ เทียบกับภาคการผลิตที่ 4.61% และภาคขายส่ง/ขายปลีกที่ 1.94% ข้อมูล 7 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม-กรกฎาคม 2567) ชี้ให้เห็นว่ามีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจบริการจำนวน 31,003 ราย คิดเป็น 57.18% ของจำนวนการจัดตั้งทั้งหมด 54,220 ราย ในปีเดียวกันนี้ ทุนจดทะเบียนของธุรกิจบริการสูงถึง 95,644.19 ล้านบาท หรือ 56.67% ของทุนจดทะเบียนจัดตั้งทั้งหมด 168,783.20 ล้านบาท
แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจบริการยังคงสดใส โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจบริการรูปแบบใหม่ๆ ที่น่าจับตามอง เช่น การวิจัยและพัฒนาเชิงทดลองด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยี, ธุรกิจเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์, ธุรกิจความบันเทิง และธุรกิจสถานที่ออกกำลังกาย ซึ่งทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงพลวัตและการปรับตัวของภาคธุรกิจบริการในประเทศไทย
ภาพรวมธุรกิจจดทะเบียนนิติบุคคลในประเทศไทย ณ 31 กรกฎาคม 2567
ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2567 ประเทศไทยมีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลรวมทั้งสิ้น 1,931,454 ราย สะท้อนถึงความคึกคักของภาคธุรกิจไทย ทุนจดทะเบียนรวมของธุรกิจเหล่านี้สูงถึง 30.22 ล้านล้านบาท บ่งชี้ถึงมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาลที่ภาคธุรกิจสร้างสรรค์ขึ้น อย่างไรก็ตาม จากจำนวนธุรกิจจดทะเบียนทั้งหมด มีเพียง 928,369 ราย หรือประมาณ 48% เท่านั้นที่ยังคงดำเนินกิจการอยู่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายและการแข่งขันที่ธุรกิจต้องเผชิญ ธุรกิจที่ยังคงดำเนินกิจการอยู่เหล่านี้มีทุนจดทะเบียนรวม 22.28 ล้านล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและศักยภาพในการเติบโตของพวกเขา
เมื่อพิจารณาประเภทของนิติบุคคล พบว่า บริษัทจำกัดเป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยมีจำนวน 724,594 ราย คิดเป็น 78.05% ของนิติบุคคลดำเนินกิจการทั้งหมด และมีทุนจดทะเบียนรวม 16.14 ล้านล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงความน่าเชื่อถือและความสามารถในการระดมทุนของบริษัทจำกัด รองลงมาคือ ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ซึ่งมีจำนวน 202,303 ราย คิดเป็น 21.79% ของนิติบุคคลดำเนินกิจการทั้งหมด และมีทุนจดทะเบียนรวม 0.47 ล้านล้านบาท แม้จะมีจำนวนธุรกิจค่อนข้างมาก แต่ทุนจดทะเบียนรวมกลับมีสัดส่วนค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับบริษัทจำกัด สุดท้าย บริษัทมหาชนจำกัด ซึ่งเป็นรูปแบบที่มีความซับซ้อนและข้อกำหนดที่เข้มงวดกว่า มีจำนวนเพียง 1,472 ราย คิดเป็น 0.16% ของนิติบุคคลดำเนินกิจการทั้งหมด อย่างไรก็ตาม บริษัทมหาชนจำกัดเหล่านี้มีทุนจดทะเบียนรวมสูงถึง 5.67 ล้านล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงขนาดและความมั่นคงทางการเงินของพวกเขา
การลงทุนต่างชาติในไทยเติบโตต่อเนื่อง
ในเดือนกรกฎาคม 2567 มีการอนุมัติให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทยภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จำนวนทั้งสิ้น 75 ราย โดยแบ่งเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาต 18 ราย และการขอหนังสือรับรอง 57 ราย คิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวม 9,499 ล้านบาท โดยประเทศที่ได้รับการอนุมัติการลงทุนสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และจีน ตามลำดับ
สำหรับภาพรวมในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม-กรกฎาคม) มีการอนุมัติให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยภายใต้พระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวจำนวน 460 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีมูลค่าการลงทุนรวม 90,987 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดย 5 อันดับแรกของนักลงทุนต่างชาติ ได้แก่ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา จีน และฮ่องกง ตามลำดับ
เศรษฐกิจไทยยังสดใส ธุรกิจยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี
โดยข้อมูลทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี แม้จะมีความท้าทายอยู่บ้าง การเติบโตของธุรกิจใหม่ การขยายตัวของภาคบริการ และการลงทุนจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ล้วนเป็นสัญญาณบวกที่บ่งบอกถึงศักยภาพและความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทย
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ต้องจับตามอง เช่น การลดลงของทุนจดทะเบียนในการจัดตั้งธุรกิจใหม่ และการเพิ่มขึ้นของมูลค่าทุนจดทะเบียนเลิก ซึ่งอาจสะท้อนถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความท้าทายที่ธุรกิจต้องเผชิญ นอกจากนี้ การปรับตัวของโครงสร้างธุรกิจไทยไปสู่ภาคบริการ ก็เป็นสิ่งที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจว่าการเติบโตนี้มีความยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวม
ในอนาคต ภาคธุรกิจไทยจำเป็นต้องปรับตัวและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับความท้าทายและคว้าโอกาสใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น การส่งเสริมนวัตกรรม การพัฒนาทักษะแรงงาน และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว