ข่าวเศรษฐกิจ

แบงก์ชาติชี้ความเชื่อมั่นผู้บริโภค-นักธุรกิจลดลง กังวลภาพศก.ขยายตัวต่ำ

1 ก.ย. 67
แบงก์ชาติชี้ความเชื่อมั่นผู้บริโภค-นักธุรกิจลดลง กังวลภาพศก.ขยายตัวต่ำ

 

เศรษฐกิจไทยเดือนกรกฎาคม 2567 เครื่องบ่งชี้ทางเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ สะท้อนบรรยากาศการลงทุนและการบริโภค คือ ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จากความกังวลด้านเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำ แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยปรับดีขึ้น หลังชะลอตัวลงจากเดือนมิถุนายน 2567 จากการฟื้นตัวของอุปสงค์ต่างประเทศ 

โดยการส่งออกสินค้า เพิ่มขึ้นถึง 15% หากไม่รวมทองคำ เพิ่มขึ้น 11% และรายรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพิ่มขึ้น 4.4% จากเดือนก่อนที่ ลดลง 3.5%  ส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมและบริการที่เกี่ยวเนื่องปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะการค้าและการขนส่ง 

ขณะที่การนำเข้าสินค้าไม่รวมทองคำ เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนในทุกหมวดสินค้าหลักจาก 1.วัตถุดิบและสินค้าขั้นกลาง ตามน้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นจากด้านปริมาณเป็นสำคัญ และการนำเข้าชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าจากไต้หวันและเกาหลีใต้ 2. สินค้าทุนไม่รวมเครื่องบิน ตามการนำเข้าคอมพิวเตอร์จากไต้หวัน และ 3. สินค้าอุปโภคบริโภค ตามการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้าจากจีน

ด้านการลงทุนภาคเอกชนกลับมาขยายตัว 3.4% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ที่หดตัว 2.3% ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนทรงตัว ขยายตัวเพียง 0.2% ระดับเดียวกับเดือนก่อนหน้า สำหรับการใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวจากทั้งรายจ่ายประจำและลงทุนของรัฐบาลกลาง ขณะที่รายจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจหดตัว 10.5% ตามการเบิกจ่ายของโครงการด้านคมนาคม

โดยคุณชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายองค์กรสัมพันธ์ และ โฆษก ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เผยว่า “ภาพรวมเศรษฐกิจไทย เดือนกรกฎาคม 2567 ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว การลงทุนและการบริโภค คือ ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จากความกังวลด้านเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำ” 

รายละเอียด มีดังนี้

  • ความเชื่อมั่นลดลง: ผู้บริโภคและนักธุรกิจมีความเชื่อมั่นลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อาจต่ำกว่าคาด โดยเฉพาะธุรกิจยานยนต์ อสังหาริมทรัพย์ และภาคการค้า
  • การส่งออกเพิ่มขึ้น: มูลค่าการส่งออกสินค้าไม่รวมทองคำเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในหมวด
  1. อิเล็กทรอนิกส์ ตามการส่งออกชิ้นส่วนอุปกรณ์สื่อสารไปมาเลเซีย แผงวงจรรวมไปมาเลเซียและยุโรป รวมทั้งคอมพิวเตอร์ไปไต้หวันและฮ่องกง 
  2. สินค้าเกษตรแปรรูป ตามการส่งออกน้ำมันพืชไปอินเดีย และยางสังเคราะห์ไปจีน
  3. ผลิตภัณฑ์เคมีและปิโตรเคมีภัณฑ์ จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นตามการขยายกำลังการผลิตสารเคลือบเคมีในอินเดียเป็นสำคัญ อย่างไรก็ดี การส่งออกสินค้าในบางหมวด ปรับลดลงจากเดือนก่อน อาทิ รถกระบะไปออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ และตะวันออกกลาง
  • การท่องเที่ยวทรงตัว: จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทรงตัว แต่รายรับภาคการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเนื่องจากค่าใช้จ่ายต่อหัวที่สูงขึ้น  จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น เช่น มาเลเซีย จีน รัสเซีย และเยอรมนี  ส่วนนักท่องเที่ยวกลุ่มตะวันออกกลางและอินเดียปรับลดลงหลังจากเพิ่มขึ้นมากในช่วงก่อนหน้า แต่รายรับภาคการท่องเที่ยวตามค่าใช้จ่ายต่อหัวที่เพิ่มขึ้น จากเดือนมิถุนายน 2567 โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวสัญชาติรัสเซียและเยอรมนี
  • การลงทุนภาคเอกชนขยายตัว: การลงทุนภาคเอกชนกลับมาขยายตัว โดยเฉพาะการลงทุนด้านเครื่องจักรและอุปกรณ์ และด้านก่อสร้าง โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าทุน ยอดจดทะเบียนรถยนต์เชิงพาณิชย์ รถกระบะยอดขายลดลง ยอดจำหน่ายเครื่องจักรในประเทศ และพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างเพื่อที่อยู่อาศัย ส่วนยอดจำหน่ายวัสดุก่อสร้างปรับลดลงตามยอดจำหน่ายเสาเข็มคอนกรีตและเครื่องสุขภัณฑ์ 
  • การบริโภคภาคเอกชนทรงตัว: การบริโภคภาคเอกชนทรงตัว โดยมีการใช้จ่ายในหมวดบริการเพิ่มขึ้น แต่การใช้จ่ายในหมวดสินค้าไม่คงทนลดลง
  • การใช้จ่ายภาครัฐขยายตัว: การใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุนของรัฐบาลกลาง โดยรายจ่ายประจำขยายตัวตามการเบิกจ่ายค่าบำเหน็จ บำนาญ ค่ารักษาพยาบาล และค่าตอบแทนพนักงานของรัฐ ส่วนรายจ่ายลงทุนขยายตัว จากการเบิกจ่ายโครงการลงทุนด้านคมนาคมและชลประทาน ขณะที่รายจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจหดตัวตามการเบิกจ่ายของโครงการด้านคมนาคม
  • อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น: อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า อาหารสด จากผลของฐานต่ำในปีก่อนและจากราคาผลไม้ที่เพิ่มขึ้นตามผลผลิตที่ลดลง ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้นจากหมวดอาหารสำเร็จรูป 
  • ตลาดแรงงานปรับดีขึ้น: การจ้างงานในระบบประกันสังคมทั้งในภาคการผลิตและบริการปรับตัวดีขึ้น ผู้ขอรับสิทธิว่างงานต่อจำนวนผู้ประกันตนรวมที่ปรับเพิ่มขึ้น 2.25 แสนคน
  • ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลลดลง: ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลลดลงเนื่องจากมูลค่าการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น
  • เงินบาทแข็งค่าขึ้น: อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น
  1. ตลาดปรับเพิ่มคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ หลังตัวเลขเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด 
  2. การแข็งค่าขึ้นของสกุลเงินเยน จากธนาคารกลางญี่ปุ่นปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าที่ตลาดคาด 
  3. แรงกดดันจากราคาทองคำที่เพิ่มขึ้น    
  • การระดมทุนของภาคธุรกิจ : โดยรวมลดลงจากเดือนก่อน ตามการระดมทุนผ่านตราสารหนี้
    ส่วนธุรกิจกลุ่มพลังงาน ซึ่งการระดมทุนผ่านตลาดทุนเพิ่มขึ้นจากธุรกิจผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มผลิตปิโตรเลียมและเคมีภัณฑ์ ประกอบกับการระดมทุนผ่านสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากสินเชื่อในกลุ่มธุรกิจขนส่งและก่อสร้าง 

สิ่งที่ต้องจับตา:

  • การเบิกจ่ายภาครัฐ: การเบิกจ่ายภาครัฐจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะต่อไป
  • ความเชื่อมั่น: ต้องติดตามความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักธุรกิจอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อการบริโภคและการลงทุนในอนาคต
  • อัตราเงินเฟ้อ: ต้องจับตาอัตราเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย
  • สถานการณ์โลก: สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป

สรุป:

เศรษฐกิจไทยในเดือนกรกฎาคม 2567 ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า แต่ยังมีความเสี่ยงจากความเชื่อมั่นที่ลดลง อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น และสถานการณ์โลกที่ไม่แน่นอน การเบิกจ่ายภาครัฐจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะต่อไป

อย่างไรก็ตาม หากคุณเป็นนักลงทุนหรือผู้ประกอบการ ควรติดตามข่าวสารและข้อมูลเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนและการดำเนินธุรกิจให้เหมาะสมกับสถานการณ์

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT