ข่าวเศรษฐกิจ

หอการค้าไทยคาดน้ำท่วมภาคเหนือเสียหาย 8 พันล้าน มั่นใจน้ำไม่ท่วมกรุงเทพ

3 ก.ย. 67
หอการค้าไทยคาดน้ำท่วมภาคเหนือเสียหาย 8 พันล้าน มั่นใจน้ำไม่ท่วมกรุงเทพ

หอการค้าไทยแสดงความกังวลต่อสถานการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือ คาดการณ์ความเสียหายทางเศรษฐกิจอาจสูงถึง 8,000 ล้านบาท พร้อมเสนอให้รัฐบาลจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าเพื่อรับมือกับวิกฤตนี้ ในขณะเดียวกัน หอการค้าไทยยังมั่นใจว่าโอกาสที่จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯ ในปีนี้นั้นต่ำ แต่ก็เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมสำหรับการฟื้นฟูหลังน้ำลด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ได้รับผลกระทบและภาคธุรกิจ

หอการค้าไทยคาดน้ำท่วมภาคเหนือเสียหาย 8 พันล้าน มั่นใจน้ำไม่ท่วมกรุงเทพ

หอการค้าไทยคาดน้ำท่วมภาคเหนือเสียหาย 8 พันล้าน มั่นใจน้ำไม่ท่วมกรุงเทพ

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวแสดงความวิตกกังวลต่อสถานการณ์อุทกภัยในภาคเหนือ ซึ่งอาจทวีความรุนแรงขึ้นจากปริมาณน้ำฝนที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป จากการประเมินเบื้องต้นของหอการค้าไทยและมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่าความเสียหายทางเศรษฐกิจอาจสูงถึง 8,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.05% ของ GDP หากสถานการณ์สามารถคลี่คลายได้ภายใน 15 วัน

ภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด คือ ภาคการเกษตร คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 7,168 ล้านบาท หรือเกือบ 90% ของความเสียหายทั้งหมด ภาคบริการและภาคอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบรองลงมา โดยจังหวัดที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ เชียงราย พะเยา และสุโขทัย

สถานการณ์ยังคงน่าเป็นห่วง เนื่องจากหลายจังหวัดยังคงมีความเสี่ยงที่จะเกิดอุทกภัยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีฝนตกหนักในพื้นที่ท้ายเขื่อน หากสถานการณ์ยืดเยื้อเป็นระยะเวลานานถึง 1 เดือนและขยายขอบเขตความเสียหายออกไป ความเสียหายทางเศรษฐกิจอาจเพิ่มสูงขึ้นเป็นกว่า 1 หมื่นล้านบาท หรือ 0.06% ของ GDP และ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น หอการค้าไทยเสนอให้รัฐบาลพิจารณาจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า เพื่อบูรณาการการดำเนินงานและแก้ไขปัญหาวิกฤตอุทกภัยอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

หอการค้าไทยเสนอรัฐจัดตั้งศูนย์บริหารน้ำส่วนหน้า รับมืออุทกภัยภาคกลางและกรุงเทพฯ

นายสนั่น อังอุบลกุล ได้เสนอแนะให้รัฐบาลจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่ออุทกภัย โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อให้การสั่งการและการดำเนินนโยบายต่างๆ เป็นไปอย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพในการบูรณาการการทำงานข้ามกระทรวง นอกจากนี้ ยังจำเป็นต้องมีการเตรียมแผนรับมือมวลน้ำที่จะไหลลงมาสู่ภาคกลางและกรุงเทพฯ รวมถึงปริมาณฝนที่คาดว่าจะตกท้ายเขื่อนในช่วงเดือนกันยายนและตุลาคม ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดน้ำท่วมซ้ำได้ หากรัฐบาลมีแผนเชิงป้องกันที่ชัดเจนล่วงหน้า ก็จะสามารถลดผลกระทบและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนและเศรษฐกิจได้อย่างมาก

หอการค้าฯ มั่นใจ! โอกาสน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ ปีนี้ต่ำ

  • ปริมาณฝนสะสม: ข้อมูล ณ ปัจจุบันบ่งชี้ว่าปริมาณฝนสะสมในปี 2567 น้อยกว่าปี 2554 อย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ปี 2554 มีปริมาณฝนสะสมทั้งปีสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวถึง 24% แต่ในปี 2567 ปริมาณฝนสะสมตั้งแต่เดือนมกราคมถึง 20 สิงหาคมกลับต่ำกว่าค่าปกติถึง 4%
  • จำนวนพายุ: การคาดการณ์จำนวนพายุที่อาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในปี 2567 นั้นน้อยกว่าปี 2554 อย่างเห็นได้ชัด โดยในปี 2554 มีพายุเข้าประเทศไทยถึง 5 ลูก ขณะที่ปี 2567 คาดการณ์ว่าจะมีพายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนที่เข้าประเทศไทยเพียง 1-2 ลูกเท่านั้น
  • ความสามารถในการรองรับน้ำของเขื่อน: ณ วันที่ 30 สิงหาคม 2567 เขื่อนหลัก 4 แห่งมีปริมาณน้ำใช้การคิดเป็น 40% ของความจุรวม และยังคงสามารถรองรับน้ำได้อีกกว่า 10,967 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งแตกต่างจากสถานการณ์ในปี 2554 ที่เขื่อนหลักมีขีดความสามารถในการรองรับน้ำเพิ่มได้เพียง 4,647 ล้านลูกบาศก์เมตร
  • สถานการณ์น้ำในลำน้ำสายหลัก: แนวโน้มสถานการณ์น้ำในลำน้ำสายหลักส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ปกติถึงน้ำน้อย ซึ่งเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัย
  • ปริมาณน้ำไหลผ่านแม่น้ำเจ้าพระยา: ปริมาณน้ำไหลผ่านสถานี C.2 แม่น้ำเจ้าพระยาในปี 2567 ยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปี 2554 อย่างมาก โดยปัจจุบันมีปริมาณน้ำไหลผ่าน 1,307 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และคาดการณ์ปริมาณน้ำไหลผ่านสูงสุดที่ 2,860 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เทียบกับปี 2554 ที่มีปริมาณน้ำไหลผ่านสูงสุดถึง 4,689 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

จากการวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ข้างต้น ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยจึงสรุปว่าสถานการณ์น้ำในปี 2567 มีความแตกต่างจากปี 2554 อย่างมีนัยสำคัญ และโอกาสที่จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในลักษณะเดียวกับปี 2554 นั้นมีความเป็นไปได้ต่ำ อย่างไรก็ตาม การเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมถึงการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินยังคงเป็นสิ่งจำเป็น

หอการค้าฯ ชี้ การฟื้นฟูหลังน้ำลดต้องเร่งด่วน เสนอรัฐหนุนสินเชื่อฟื้นฟูธุรกิจ

แม้สถานการณ์น้ำท่วมจะยังไม่คลี่คลาย แต่หอการค้าฯ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมสำหรับการฟื้นฟูหลังน้ำลด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความช่วยเหลือ ซ่อมแซม และฟื้นฟูแก่ประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก เช่น ประชาชนที่บ้านเรือนจมอยู่ใต้น้ำหรือได้รับความเสียหายทั้งหมด ควรได้รับเงินชดเชยหรือเงินช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ในขณะที่ภาคธุรกิจจำเป็นต้องได้รับการสำรวจและประเมินความเสียหายอย่างรวดเร็วเพื่อจัดลำดับความสำคัญในการฟื้นฟู

นอกจากนี้ หอการค้าฯ ยังเสนอให้รัฐบาลผลักดันนโยบายเพื่อให้สถาบันการเงินของรัฐเร่งดำเนินมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ เช่น การพักชำระหนี้ การลดอัตราดอกเบี้ย หรือแม้แต่การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) เพื่อช่วยในการปรับปรุง ซ่อมแซม และฟื้นฟูเครื่องมือและอุปกรณ์ในการประกอบธุรกิจ มาตรการเหล่านี้จะช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถกลับมาดำเนินกิจการและฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ลดผลกระทบทางเศรษฐกิจในระยะยาว

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT