กระทรวงพลังงานชี้แจงข้อวิจารณ์เกี่ยวกับค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น ยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีนโยบายเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนผูกขาด และ กฟผ. ยังคงมีบทบาทสำคัญในการผลิตกระแสไฟฟ้า
กระทรวงพลังงานชี้แจงเรื่อง ค่าไฟแพง ย้ำไม่เอื้อกลุ่มทุน และ กฟผ.ยังสำคัญ
โฆษกกระทรวงพลังงาน นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู ได้ออกมาชี้แจงถึงประเด็นข้อวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อกังวลที่ว่ารัฐบาลเอื้อประโยชน์ให้ภาคเอกชนจนทำให้ กฟผ. มีบทบาทลดลง ซึ่งท่านได้ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง โดย นายวีรพัฒน์ ย้ำว่า รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการผลิตกระแสไฟฟ้า เพื่อเพิ่มการแข่งขันและประสิทธิภาพ อันจะนำไปสู่การเข้าถึงพลังงานที่เพียงพอในราคาที่เหมาะสมสำหรับประชาชน
ในส่วนของโครงสร้างค่าไฟฟ้านั้น ท่านได้ชี้แจงว่าไม่ได้ขึ้นอยู่กับสัดส่วนการถือหุ้นใน กฟผ. แต่ขึ้นอยู่กับต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งรวมถึงต้นทุนเชื้อเพลิงและค่าดำเนินการต่างๆ โดยมี กกพ. ทำหน้าที่กำกับดูแลเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ใช้บริการ นอกจากนี้ นายวีรพัฒน์ ยังได้กล่าวถึงแผน PDP 2024 ที่จะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าอีกเกือบ 20,000 เมกะวัตต์ ซึ่งจะช่วยให้ระบบไฟฟ้ามีความมั่นคงและเพียงพอต่อความต้องการในอนาคต
ประเด็นค่าไฟฟ้าสูง การพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้า และการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล
มีข้อวิพากษ์วิจารณ์ว่าการประมาณการความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงเกินความเป็นจริง ส่งผลให้ประเทศต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยเฉพาะการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ซึ่งมีราคาผันผวน และการไม่ต่ออายุสัญญาโรงไฟฟ้าพลังน้ำเดิม แต่กลับดำเนินการก่อสร้างเขื่อนใหม่ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ค่าไฟฟ้าสูง
กระทรวงพลังงานขอชี้แจง
- การพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้า: กระทรวงพลังงานใช้ค่าพยากรณ์ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ระยะยาวจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ซึ่งไม่สามารถพิจารณาจากสถานการณ์ระยะสั้นเพียงปีเดียวได้ เนื่องจากประเทศไทยมีประชากรแฝงจำนวนมาก ทำให้การพยากรณ์อาจมีความคลาดเคลื่อน สศช. ยืนยันว่าแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมยังไม่เปลี่ยนแปลง ค่าพยากรณ์ GDP ระยะยาวจึงยังคงสามารถนำมาใช้ในการวางแผนได้
- ระดับการสำรองไฟฟ้า: ที่ผ่านมากระทรวงพลังงานกำหนดระดับการสำรองไฟฟ้าไว้ไม่ต่ำกว่า 15% และใช้เกณฑ์ดัชนีโอกาสเกิดไฟฟ้าดับ (LOLE) ไม่เกิน 1 วันต่อปี ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ฉบับใหม่จะใช้เกณฑ์ LOLE ไม่เกิน 0.7 วันต่อปี เพื่อคำนึงถึงความมั่นคงของระบบไฟฟ้าและมูลค่าความเสียหายจากไฟฟ้าดับ
ประเด็นการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและ LNG
- ร่างแผน PDP 2024: ให้ความสำคัญกับความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ต้นทุนค่าไฟฟ้าที่เหมาะสม และการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยจะเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดมากกว่า 50% ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในโรงไฟฟ้าหลัก และผสมไฮโดรเจนและก๊าซเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) พร้อมทั้งใช้พลังงานหมุนเวียนทุกประเภทอย่างเต็มศักยภาพ และเพิ่มทางเลือกอื่นๆ เช่น โรงไฟฟ้าพลังน้ำสูบกลับ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก และเทคโนโลยีแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน
- ระยะสั้น: ประเทศไทยยังคงจำเป็นต้องพึ่งพาโรงไฟฟ้าหลักจากเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ แต่ PDP ฉบับใหม่จะลดสัดส่วนการใช้ก๊าซธรรมชาติลง คาดว่าปลายแผนในปี 2580 จะพึ่งพาก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าประมาณ 41% จากเดิม 53%
ประเด็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำ
- โรงไฟฟ้าพลังน้ำที่จะหมดอายุ: ภาครัฐสามารถเจรจาต่ออายุสัญญาได้หากพิจารณาแล้วว่าเป็นประโยชน์
- โรงไฟฟ้าพลังน้ำใหม่: ถือเป็นทางเลือกหนึ่งในการจัดหาพลังงานเพื่อความมั่นคง เป็นการกระจายเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า และช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) การรับซื้อไฟฟ้าต้องทำล่วงหน้าเนื่องจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำจากเขื่อนต้องใช้เวลาในการพัฒนาโครงการอย่างน้อย 10 ปี โรงไฟฟ้าพลังน้ำจะช่วยสร้างเสถียรภาพด้านค่าไฟฟ้าเนื่องจากราคารับซื้อไฟฟ้าจะคงที่ตลอดอายุสัญญา
ประเด็นค่าไฟแพง กระทบเงินเฟ้อ และการย้ายฐานการลงทุน
แม้จะมีความกังวลว่าค่าไฟฟ้าที่สูงในประเทศไทยอาจส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อและการย้ายฐานการลงทุนไปยังประเทศอื่น แต่เมื่อเปรียบเทียบอัตราค่าไฟฟ้ากับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียน พบว่าค่าไฟฟ้าของไทยอยู่ในระดับปานกลาง ทั้งนี้ การเปรียบเทียบค่าไฟฟ้าจำเป็นต้องพิจารณาบริบทของอุตสาหกรรมไฟฟ้าในแต่ละประเทศด้วย เช่น สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งบางประเทศสามารถใช้ถ่านหินและพลังน้ำได้มาก ทำให้ค่าไฟฟ้าต่ำกว่า
สำหรับประเทศไทย ค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เกิดจากต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมได้ยาก อย่างไรก็ตาม ภาครัฐไม่ได้นิ่งนอนใจและได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อบรรเทาภาระค่าไฟฟ้า อาทิเช่น
- เร่งจัดหาเชื้อเพลิง: ในช่วงที่ราคาปรับตัวลดลง
- กำกับดูแลการผลิตก๊าซในอ่าวไทย: ให้เป็นไปตามแผน
- จัดหาก๊าซจากตลาดจร (SPOT LNG): ที่มีราคาต่ำกว่า
- ทำสัญญาระยะยาว: เพื่อความมั่นคงในการจัดหาก๊าซ
- เปลี่ยนวิธีคำนวณ Pool Gas: เพื่อลดต้นทุนค่าไฟฟ้า
- จัดหาไฟฟ้าต้นทุนต่ำ: เช่น เพิ่มการผลิตจากโรงไฟฟ้าแม่เมาะ นำโรงไฟฟ้าที่ปลดระวางแล้วกลับมาผลิต และรับซื้อไฟฟ้าระยะสั้นจากพลังงานทดแทน
กระทรวงพลังงานยืนยัน ว่าการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าโดยเอกชนไม่ได้ทำให้ กฟผ. ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกลุ่มทุน และรัฐยังคงถือหุ้นใน กฟผ. 100% โดยไม่มีแผนแปรรูปกิจการ โรงไฟฟ้าและระบบส่งที่ กฟผ. รับผิดชอบยังคงอยู่ภายใต้การดูแลของ กฟผ. และแผน PDP ฉบับใหม่ไม่ได้ลดกำลังการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. ลง นอกจากนี้ การคิดคำนวณค่าไฟฟ้าและการจัดหาเชื้อเพลิงยังคงได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เพื่อให้ค่าไฟฟ้ามีความเหมาะสมและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย