กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Nonfarm Payrolls) ประจำเดือนสิงหาคมที่ 142,000 ตำแหน่ง ซึ่งต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ที่ 165,000 ตำแหน่ง คิดเป็นการปรับลดลงจากระดับ 4.3% เป็น 4.2%
ขณะเดียวกัน ตัวเลขการจ้างงานฯ ประจำเดือนมิถุนายนและกรกฎาคมก็ถูกปรับลดลงเหลือ 61,000 ตำแหน่ง และ 89,000 ตำแหน่ง (ตามลำดับ) สะท้อนอัตราการเติบโตของการจ้างงานที่ชะลอตัว
สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการจ้างงานเพิ่มมากที่สุดประจำเดือนสิงหาคม ได้แก่ ‘ภาคการก่อสร้าง’ ที่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 34,000 ตำแหน่ง โดยได้รับแรงหนุนจากการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ รองลงมาคือ ‘ภาคการดูแลสุขภาพ’ และ ‘ภาคสวัสดิการสังคม’ ที่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 31,000 ตำแหน่ง และ 13,000 ตำแหน่ง (ตามลำดับ) ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในแนวโน้มที่ชะลอตัวลง
การรายงานตัวเลขการจ้างงานฯ ที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดการณ์ในเดือนสิงหาคม ทำให้นักเศรษฐศาสตร์ส่วนหนึ่งมองว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีโอกาสมากขึ้นที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 50 bps แทนที่จะเป็น 25 bps ในการประชุมรอบวันที่ 17 - 18 กันยายนนี้ ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์อีกฝั่งมองว่าเฟดน่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 25 bps และทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า
นายเจอโรม พาวเวลล์ (Jerome Powell) ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้กล่าวว่า “ถึงเวลาแล้วที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ย” ซึ่งสอดคล้องกับบรรดาผู้กำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ได้ออกมาเปิดเผยในเวลาไล่เลี่ยกันว่าเฟดจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านอัตราดอกเบี้ย โดยนายจอห์น วิลเลียมส์ (John Williams) ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขานิวยอร์ก กล่าวว่า “ช่วงเวลานี้เหมาะสมแล้วที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง”
ขณะที่นายออสตัน กูลส์บี (Austan Goolsbee) ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาชิคาโก ที่ระบุว่าเมื่อพิจารณาจากข้อมูลและตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ถูกรายงานออกมาแล้ว เฟดจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านอัตราดอกเบี้ย ส่วนนายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ (Christopher Waller) ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ ระบุว่าเขาเห็นด้วยกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายล่วงหน้า เมื่ออัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นในปี 2022 และเขาก็จะสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายล่วงหน้าเช่นกัน หากมันถึงเวลาที่เหมาะสม