ข่าวเศรษฐกิจ

‘กอบศักดิ์’ ชี้ศก.โลกกำลังฟื้น ไทยปีนี้โต3% เม็ดเงิน 2 แสนล้านหนุนหุ้น

9 ก.ย. 67
‘กอบศักดิ์’ ชี้ศก.โลกกำลังฟื้น ไทยปีนี้โต3% เม็ดเงิน 2 แสนล้านหนุนหุ้น

ภาพเศรษฐกิจทั่วโลกอยู่ในทิศทางกำลังจะฟื้นตัว หลังธนาคารทั่วโลกจะปรับลดดอกเบี้ย เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงเศรษฐกิจไทย ถือว่าทุกประเทศได้ผ่านจุดต่ำสุดกันหมดแล้ว ภาพเศรษฐกิจไทยเองก็อยู่ในช่วงฟื้นตัวเช่นเดียวกัน เชื่อว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ราว 3% พร้อมกับเม็ดเงินที่จะเข้ามาในตลาดทุนไทยปีนี้กว่า 2 แสนล้านบาท

‘กอบศักดิ์’ ชี้ศก.โลกกำลังฟื้น คาดศก.ไทยปีนี้โตราว 3% มีเม็ดเงินกว่า 2 แสนล้านหนุนตลาดทุน

โดยนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า ภาพเศรษฐกิจทั่วโลกชัดขึ้น หลังธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกจะปรับลดดอกเบี้ย ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป ละตินอเมริกาลดต่อเนื่อง ขณะที่ยุโรปลดแล้ว เหลือสหรัฐฯ  ที่กำลังจะปรับลดดอกเบี้ย และเชื่อว่าประเทศในแถบเอเซียลดดอกเบี้ยมาตาม ถือว่าเศรษฐกิจทั่วโลกอยู่ในเฟสใหม่ที่จะเป็นการฟื้นตัวพร้อมกันทั่วโลก ซึ่งถือว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว 

“ เศรษฐกิจโลกผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ส่วนเรื่องเศรษฐกิจถดถอยเราจะต้องกังวลใจรึป่าว? เป็นเรื่องสำคัญนักลงทุน และการเกิด recession จะต้องมาดูว่าลึกแรงแค่ไหน อย่างสหรัฐฯ ล่าสุด เริ่มมีอาการ แต่เมื่อเกิด recession จะลึกนานแค่ไหน ก็ไม่กังวลใจ เพราะเฟดสามารถใช้นโยบายการลดดอกเบี้ยได้ เพื่อที่จะดูแลไม่ให้สถานการณ์ ทำให้ไม่ลึกและไม่นานซึ่งก็จะส่งผลดีต่อภาคเอกชนที่จะสามารถบริหารจัดการได้เช่นกัน เพราะภาคธุรกิจจะกลัวลึกและยาว” 

ส่วนประเทศไทยนั้น มองว่า เศรษฐกิจไทยปรับตัวไปได้ และเราได้ถึงจุดต่ำสุด โดยขณะนี้เศรษฐกิจได้ฟื้นตัวมาระดับหนึ่งแล้ว และมองว่าอัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันเป็นระดับที่เหมาะสม คือ 2.00-2.50% ต่อปี ซึ่งขณะนี้อยู่ 2.50% และ ณ ขณะนี้ความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มหมดไป เพราะการส่งออกไทย +15% ถือว่าดีมาก การลงทุน การใช้จ่าบยภาครัฐดีขึ้น ท่องเที่ยวปีนี้ตัวเลขนักท่องเที่ยวน่าจะถึง 4 ล้านคนต่อเดือน อัตราเงินเฟ้อก็ไม่ใช่ปัญหาแล้วในขณะนี้

ปัจจัยอะไรหนุนเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 3% 

  1. ส่งออกดี 
  2. ท่องเที่ยวหนุน ปลายปีดี  
  3. รัฐบาลกลับมากระตุ้นเศรษฐกิจ
  4. ผลกำไรสุทผลของบริษัทจดทะเบียนครึ่งปีแรก +10% น่าจะสามารถซัพพอร์ตเศรษฐกิจช่วงหน้าได้

ส่งผลให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดีทั้งหมด ฉะนั้น มองว่าเศรษฐกิจไทยยังไปได้ ภาพรวมเศรษฐกิจไปได้ คิดว่าปีนี้ จีดีพีน่าจะได้ประมาณ บวก ลบ 3% 

ด้านตลาดหุ้นไทยเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เป็นเสมือนภาพสะท้อนความผันผวนของเศรษฐกิจและการเมืองไทย แม้จะมีช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ แต่ก็ยังมีสัญญาณบวกที่ทำให้ตลาดปิดเดือนด้วยความหวัง นักลงทุนไทยกำลังจับตามองสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมปรับตัวรับมือกับความท้าทายและโอกาสใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น

ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนพุ่ง ตลาดหุ้นไทยสดใสรับมาตรการรัฐ แต่ยังกังวลการเมือง

ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นักลงทุนคาดหวังการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและมาตรการกระตุ้นภาครัฐ แต่ยังคงกังวลต่อความไม่แน่นอนทางการเมืองและภาวะเศรษฐกิจถดถอย สภาธุรกิจตลาดทุนไทยได้เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนประจำเดือนสิงหาคม 2567 ซึ่งบ่งชี้ถึงการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยดัชนีฯ อยู่ที่ระดับ 132.51 จุด ซึ่งจัดอยู่ในเกณฑ์ "ร้อนแรง" สะท้อนถึงมุมมองเชิงบวกของนักลงทุนต่อแนวโน้มตลาดหุ้นในอีก 3 เดือนข้างหน้า

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ปัจจัยหลักที่ส่งผลบวกต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ได้แก่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนให้ความกังวล ได้แก่ ความไม่แน่นอนทางการเมือง และความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในระยะต่อไป 

ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนพุ่งทะยาน นักลงทุนไทยมองตลาดหุ้นสดใส หวังมาตรการรัฐหนุน แต่กังวลการเมือง

ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือนสิงหาคม 2567 เผยให้เห็นถึงทัศนคติเชิงบวกอย่างมากของนักลงทุนไทยต่อตลาดหุ้น โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้

  • ความเชื่อมั่นพุ่งสูง: ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนสำหรับอีก 3 เดือนข้างหน้า (พฤศจิกายน 2567) อยู่ในเกณฑ์ "ร้อนแรง" ที่ระดับ 132.51 จุด สะท้อนถึงความคาดหวังต่อการเติบโตของตลาด
  • ทุกกลุ่มนักลงทุนมีความเชื่อมั่นสูง: ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนบุคคล, บัญชีบริษัทหลักทรัพย์, สถาบันในประเทศ, หรือต่างประเทศ ต่างก็มีความเชื่อมั่นอยู่ในเกณฑ์ "ร้อนแรง" เช่นกัน
  • กลุ่มพาณิชย์มาแรง: หมวดธุรกิจที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคือหมวดพาณิชย์ (COMM)
  • ยานยนต์ยังไม่ฟื้น: หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจที่สุดคือหมวดยานยนต์ (AUTO)
  • มาตรการรัฐเป็นแรงขับเคลื่อน: ปัจจัยหนุนที่สำคัญที่สุดต่อตลาดหุ้นไทยคือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
  • การเมืองยังเป็นปัจจัยเสี่ยง: ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศยังคงเป็นปัจจัยฉุดที่นักลงทุนกังวลมากที่สุด

นอกจากนี้ ยังพบว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนทุกกลุ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นสูงถึง 275.0% มาอยู่ที่ระดับ 125.00 จุด

ตลาดหุ้นไทยผันผวนตามสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจโลก แต่ปิดเดือนสิงหาคมด้วยทิศทางบวก

ดัชนี SET Index ในช่วงครึ่งแรกของเดือนสิงหาคม 2567 ต้องเผชิญกับความผันผวนอย่างหนัก โดยปรับตัวลดลงต่ำกว่า 1,300 จุด ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองจากผลการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญต่อพรรคก้าวไกลและการถอดถอนนายกรัฐมนตรี แม้ว่าจะมีข่าวดีจากการเติบโตของ GDP ไทยในไตรมาส 2 ที่สูงกว่าคาดถึง 2.3% ก็ตาม

อย่างไรก็ตาม บรรยากาศในตลาดหุ้นกลับพลิกฟื้นในช่วงครึ่งหลังของเดือน เมื่อสถานการณ์การเมืองเริ่มมีความชัดเจนขึ้นหลังการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 และการประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงท่าทีของ FED ที่ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย ปัจจัยเหล่านี้หนุนให้ SET Index ปิดเดือนสิงหาคมที่ 1,359.07 จุด เพิ่มขึ้น 2.9% จากเดือนก่อนหน้า ด้วยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 44,404 ล้านบาท

แม้จะมีแรงซื้อจากนักลงทุนในประเทศ แต่ภาพรวมนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิ 6,133 ล้านบาทในเดือนสิงหาคม และขายสุทธิสะสมตั้งแต่ต้นปีมากกว่า 123,692 ล้านบาท สำหรับแนวโน้มในอนาคต นักลงทุนยังคงต้องจับตาปัจจัยต่างประเทศ ทั้งนโยบายการเงินของ FED และสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ขณะที่ปัจจัยในประเทศที่น่าสนใจ ได้แก่ ผลการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ นโยบายเศรษฐกิจที่จะออกมา รวมถึงสถานการณ์น้ำท่วมที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม

เดือนสิงหาคมจึงเป็นอีกหนึ่งบททดสอบความแข็งแกร่งของตลาดหุ้นไทย ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมโยงอย่างแนบแน่นระหว่างเศรษฐกิจ การเมือง และความเชื่อมั่นของนักลงทุน แม้เส้นทางข้างหน้าอาจยังมีอุปสรรคและความท้าทาย แต่ด้วยความหวังและการเตรียมพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ ตลาดหุ้นไทยก็พร้อมที่จะก้าวต่อไปอย่างมั่นคง

“ตลาดหุ้นไทยในช่วง 2-3 วันทีผ่านมา นักลงทุนน่าจะพอใจ โดยรวมที่จะมีเม็ดเงินจากวายุภักษ์เข้ามาซัพพอร์ตตลาด ประมาณ 150,000 ล้านบาท และ​ TESG เข้ามาอีกประมาณ 60,000 รวมกันกว่า 2 แสนล้านบาทเข้ามา ช่วยให้ทุกคนมีความมั่นใจมากขึ้น แต่ต้องคิดปัจจัยพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนเร็วขนาดนั้น” นายกอบศักดิ์กล่าว

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT