ภาพเศรษฐกิจทั่วโลกอยู่ในทิศทางกำลังจะฟื้นตัว หลังธนาคารทั่วโลกจะปรับลดดอกเบี้ย เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงเศรษฐกิจไทย ถือว่าทุกประเทศได้ผ่านจุดต่ำสุดกันหมดแล้ว ภาพเศรษฐกิจไทยเองก็อยู่ในช่วงฟื้นตัวเช่นเดียวกัน เชื่อว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ราว 3% พร้อมกับเม็ดเงินที่จะเข้ามาในตลาดทุนไทยปีนี้กว่า 2 แสนล้านบาท
‘กอบศักดิ์’ ชี้ศก.โลกกำลังฟื้น คาดศก.ไทยปีนี้โตราว 3% มีเม็ดเงินกว่า 2 แสนล้านหนุนตลาดทุน
โดยนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า ภาพเศรษฐกิจทั่วโลกชัดขึ้น หลังธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกจะปรับลดดอกเบี้ย ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป ละตินอเมริกาลดต่อเนื่อง ขณะที่ยุโรปลดแล้ว เหลือสหรัฐฯ ที่กำลังจะปรับลดดอกเบี้ย และเชื่อว่าประเทศในแถบเอเซียลดดอกเบี้ยมาตาม ถือว่าเศรษฐกิจทั่วโลกอยู่ในเฟสใหม่ที่จะเป็นการฟื้นตัวพร้อมกันทั่วโลก ซึ่งถือว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
“ เศรษฐกิจโลกผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ส่วนเรื่องเศรษฐกิจถดถอยเราจะต้องกังวลใจรึป่าว? เป็นเรื่องสำคัญนักลงทุน และการเกิด recession จะต้องมาดูว่าลึกแรงแค่ไหน อย่างสหรัฐฯ ล่าสุด เริ่มมีอาการ แต่เมื่อเกิด recession จะลึกนานแค่ไหน ก็ไม่กังวลใจ เพราะเฟดสามารถใช้นโยบายการลดดอกเบี้ยได้ เพื่อที่จะดูแลไม่ให้สถานการณ์ ทำให้ไม่ลึกและไม่นานซึ่งก็จะส่งผลดีต่อภาคเอกชนที่จะสามารถบริหารจัดการได้เช่นกัน เพราะภาคธุรกิจจะกลัวลึกและยาว”
ส่วนประเทศไทยนั้น มองว่า เศรษฐกิจไทยปรับตัวไปได้ และเราได้ถึงจุดต่ำสุด โดยขณะนี้เศรษฐกิจได้ฟื้นตัวมาระดับหนึ่งแล้ว และมองว่าอัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันเป็นระดับที่เหมาะสม คือ 2.00-2.50% ต่อปี ซึ่งขณะนี้อยู่ 2.50% และ ณ ขณะนี้ความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มหมดไป เพราะการส่งออกไทย +15% ถือว่าดีมาก การลงทุน การใช้จ่าบยภาครัฐดีขึ้น ท่องเที่ยวปีนี้ตัวเลขนักท่องเที่ยวน่าจะถึง 4 ล้านคนต่อเดือน อัตราเงินเฟ้อก็ไม่ใช่ปัญหาแล้วในขณะนี้
ปัจจัยอะไรหนุนเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 3%
- ส่งออกดี
- ท่องเที่ยวหนุน ปลายปีดี
- รัฐบาลกลับมากระตุ้นเศรษฐกิจ
- ผลกำไรสุทผลของบริษัทจดทะเบียนครึ่งปีแรก +10% น่าจะสามารถซัพพอร์ตเศรษฐกิจช่วงหน้าได้
ส่งผลให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดีทั้งหมด ฉะนั้น มองว่าเศรษฐกิจไทยยังไปได้ ภาพรวมเศรษฐกิจไปได้ คิดว่าปีนี้ จีดีพีน่าจะได้ประมาณ บวก ลบ 3%
ด้านตลาดหุ้นไทยเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เป็นเสมือนภาพสะท้อนความผันผวนของเศรษฐกิจและการเมืองไทย แม้จะมีช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ แต่ก็ยังมีสัญญาณบวกที่ทำให้ตลาดปิดเดือนด้วยความหวัง นักลงทุนไทยกำลังจับตามองสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมปรับตัวรับมือกับความท้าทายและโอกาสใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนพุ่ง ตลาดหุ้นไทยสดใสรับมาตรการรัฐ แต่ยังกังวลการเมือง
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นักลงทุนคาดหวังการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและมาตรการกระตุ้นภาครัฐ แต่ยังคงกังวลต่อความไม่แน่นอนทางการเมืองและภาวะเศรษฐกิจถดถอย สภาธุรกิจตลาดทุนไทยได้เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนประจำเดือนสิงหาคม 2567 ซึ่งบ่งชี้ถึงการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยดัชนีฯ อยู่ที่ระดับ 132.51 จุด ซึ่งจัดอยู่ในเกณฑ์ "ร้อนแรง" สะท้อนถึงมุมมองเชิงบวกของนักลงทุนต่อแนวโน้มตลาดหุ้นในอีก 3 เดือนข้างหน้า
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ปัจจัยหลักที่ส่งผลบวกต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ได้แก่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนให้ความกังวล ได้แก่ ความไม่แน่นอนทางการเมือง และความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในระยะต่อไป
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนพุ่งทะยาน นักลงทุนไทยมองตลาดหุ้นสดใส หวังมาตรการรัฐหนุน แต่กังวลการเมือง
ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือนสิงหาคม 2567 เผยให้เห็นถึงทัศนคติเชิงบวกอย่างมากของนักลงทุนไทยต่อตลาดหุ้น โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้
- ความเชื่อมั่นพุ่งสูง: ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนสำหรับอีก 3 เดือนข้างหน้า (พฤศจิกายน 2567) อยู่ในเกณฑ์ "ร้อนแรง" ที่ระดับ 132.51 จุด สะท้อนถึงความคาดหวังต่อการเติบโตของตลาด
- ทุกกลุ่มนักลงทุนมีความเชื่อมั่นสูง: ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนบุคคล, บัญชีบริษัทหลักทรัพย์, สถาบันในประเทศ, หรือต่างประเทศ ต่างก็มีความเชื่อมั่นอยู่ในเกณฑ์ "ร้อนแรง" เช่นกัน
- กลุ่มพาณิชย์มาแรง: หมวดธุรกิจที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคือหมวดพาณิชย์ (COMM)
- ยานยนต์ยังไม่ฟื้น: หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจที่สุดคือหมวดยานยนต์ (AUTO)
- มาตรการรัฐเป็นแรงขับเคลื่อน: ปัจจัยหนุนที่สำคัญที่สุดต่อตลาดหุ้นไทยคือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
- การเมืองยังเป็นปัจจัยเสี่ยง: ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศยังคงเป็นปัจจัยฉุดที่นักลงทุนกังวลมากที่สุด
นอกจากนี้ ยังพบว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนทุกกลุ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นสูงถึง 275.0% มาอยู่ที่ระดับ 125.00 จุด
ตลาดหุ้นไทยผันผวนตามสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจโลก แต่ปิดเดือนสิงหาคมด้วยทิศทางบวก
ดัชนี SET Index ในช่วงครึ่งแรกของเดือนสิงหาคม 2567 ต้องเผชิญกับความผันผวนอย่างหนัก โดยปรับตัวลดลงต่ำกว่า 1,300 จุด ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองจากผลการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญต่อพรรคก้าวไกลและการถอดถอนนายกรัฐมนตรี แม้ว่าจะมีข่าวดีจากการเติบโตของ GDP ไทยในไตรมาส 2 ที่สูงกว่าคาดถึง 2.3% ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศในตลาดหุ้นกลับพลิกฟื้นในช่วงครึ่งหลังของเดือน เมื่อสถานการณ์การเมืองเริ่มมีความชัดเจนขึ้นหลังการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 และการประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงท่าทีของ FED ที่ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย ปัจจัยเหล่านี้หนุนให้ SET Index ปิดเดือนสิงหาคมที่ 1,359.07 จุด เพิ่มขึ้น 2.9% จากเดือนก่อนหน้า ด้วยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 44,404 ล้านบาท
แม้จะมีแรงซื้อจากนักลงทุนในประเทศ แต่ภาพรวมนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิ 6,133 ล้านบาทในเดือนสิงหาคม และขายสุทธิสะสมตั้งแต่ต้นปีมากกว่า 123,692 ล้านบาท สำหรับแนวโน้มในอนาคต นักลงทุนยังคงต้องจับตาปัจจัยต่างประเทศ ทั้งนโยบายการเงินของ FED และสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ขณะที่ปัจจัยในประเทศที่น่าสนใจ ได้แก่ ผลการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ นโยบายเศรษฐกิจที่จะออกมา รวมถึงสถานการณ์น้ำท่วมที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม
เดือนสิงหาคมจึงเป็นอีกหนึ่งบททดสอบความแข็งแกร่งของตลาดหุ้นไทย ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมโยงอย่างแนบแน่นระหว่างเศรษฐกิจ การเมือง และความเชื่อมั่นของนักลงทุน แม้เส้นทางข้างหน้าอาจยังมีอุปสรรคและความท้าทาย แต่ด้วยความหวังและการเตรียมพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ ตลาดหุ้นไทยก็พร้อมที่จะก้าวต่อไปอย่างมั่นคง
“ตลาดหุ้นไทยในช่วง 2-3 วันทีผ่านมา นักลงทุนน่าจะพอใจ โดยรวมที่จะมีเม็ดเงินจากวายุภักษ์เข้ามาซัพพอร์ตตลาด ประมาณ 150,000 ล้านบาท และ TESG เข้ามาอีกประมาณ 60,000 รวมกันกว่า 2 แสนล้านบาทเข้ามา ช่วยให้ทุกคนมีความมั่นใจมากขึ้น แต่ต้องคิดปัจจัยพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนเร็วขนาดนั้น” นายกอบศักดิ์กล่าว