ข่าวเศรษฐกิจ

ผู้ว่าธปท.ชี้เศรษฐกิจไทยต้องโต แบบใหม่ เน้นโตในท้องถิ่นที่สากล

15 ก.ย. 67
ผู้ว่าธปท.ชี้เศรษฐกิจไทยต้องโต  แบบใหม่ เน้นโตในท้องถิ่นที่สากล
ไฮไลท์ Highlight

"ประเทศไทยโตแบบเดิมๆ ไม่ได้แล้ว เห็นได้จาก 10 ปีที่ผ่านมา จีดีพีไทยไม่ได้สะท้อนความมั่งคั่ง เท่าที่ควรอัตราการเติบโตเศรษฐกิจโดยรวมเติบโตชะลอลง และไม่กระจายไปยังระดับครัวเรือนเท่าที่ควร ดังนั้น เราต้องปรับตัวและออกแรงมากขึ้น สร้างรายได้ในระดับท้องถิ่น และเราต่างชาติคงไม่ได้เหมือนเดิม เราต้องเพิ่งความเข้มแข็งภายในมากขึ้น"

เศรษฐกิจไทยจะโตแบบเดิมๆ ไม่ได้แล้ว ตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พิสูจน์แล้วว่า GDP ไทยเติบโต แต่รายได้ครัวเรือนไม่ได้เติบโตมากกว่า หรือเท่ากับ GDP ซึ่งหากต้องการให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน เราควรที่จะให้เศรษฐกิจในภูมิภาคเติบโตด้วย จากการที่เราดึงเอกลักษณ์ของแต่ละจังหวัด หรือแต่ละท้องถิ่น พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้แข่งขันในระดับสากล และเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทย

ปลดล็อกศักยภาพท้องถิ่นไทย สู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืนและแข่งขันได้ เศรษฐกิจโต...แต่ครัวเรือนไทยยังลำบาก? 

ผู้ว่าธปท.ชี้เศรษฐกิจไทยต้องโต  แบบใหม่ เน้นโตในท้องถิ่นที่สากล

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวปาฏกถาพิเศษ 'สร้างไทยเข้มแข็งด้วยท้องถิ่นนิยม...Loadlism Future of Thailand' ในงาน Big Heart Impact สร้างโอกาสคนตัวเล็ก...Power of Partnership จับมือไว้ ไปด้วยกัน ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้ให้เห็นถึงความไม่สมดุลในการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แม้ว่าดัชนี GDP จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 100 ในปี 2552 เป็น 180 ในปี 2566 แต่รายได้ครัวเรือนโดยเฉพาะในภาคเหนือ อีสาน และใต้ กลับไม่เติบโตในสัดส่วนที่สอดคล้องกัน

"ประเทศไทยโตแบบเดิมๆ ไม่ได้แล้ว เห็นได้จาก 10 ปีที่ผ่านมา จีดีพีไทยไม่ได้สะท้อนความมั่งคั่ง เท่าที่ควรอัตราการเติบโตเศรษฐกิจโดยรวมเติบโตชะลอลง และไม่กระจายไปยังระดับครัวเรือนเท่าที่ควร ดังนั้น เราต้องปรับตัวและออกแรงมากขึ้น สร้างรายได้ในระดับท้องถิ่น และเราต่างชาติคงไม่ได้เหมือนเดิม เราต้องเพิ่งความเข้มแข็งภายในมากขึ้น" ผู้ว่าธปท.กล่าว

ความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ ถึงแม้ GDP จะขยายตัว แต่รายได้ครัวเรือนไม่เท่าทัน เพราะในขณะที่ GDP เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว รายได้ครัวเรือนในภาคเหนือ อีสาน และใต้ เพิ่มขึ้นเพียง 153, 147 และ 124 ตามลำดับ สะท้อนให้เห็นว่าผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ได้ถูกกระจายอย่างทั่วถึง

การเติบโตของรายได้ครัวเรือนที่ต่ำกว่า GDP ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะนอกเขตเมืองหลัก ลดลง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจในพื้นที่เหล่านั้น ด้านความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมจาการเติบโตที่ไม่เท่าเทียมกันนี้ยิ่งซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงทางธุรกิจและสังคมในระยะยาว และเมื่อตลาดในต่างจังหวัดซบเซา นักลงทุนอาจลังเลที่จะขยายธุรกิจหรือลงทุนในพื้นที่เหล่านี้ ทำให้โอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคเหล่านั้นลดลง

ธุรกิจขนาดใหญ่ผูกขาด อุปสรรคต่อการเติบโตของธุรกิจรายใหม่ในประเทศไทย

ผู้ว่าธปท.ชี้เศรษฐกิจไทยต้องโต  แบบใหม่ เน้นโตในท้องถิ่นที่สากล

จากรูปเผยให้เห็นภาพที่น่ากังวลเกี่ยวกับโครงสร้างทางธุรกิจในประเทศไทย โดยธุรกิจขนาดใหญ่มีอำนาจเหนือตลาดอย่างมาก ทั้งในแง่ของจำนวนและรายได้

การกระจุกตัวของรายได้

  • ธุรกิจขนาดใหญ่ครองส่วนแบ่งรายได้มหาศาล: ข้อมูลปี 2561 ชี้ว่าแม้ธุรกิจขนาดใหญ่จะมีสัดส่วนเพียง 5% ของจำนวนธุรกิจทั้งหมด แต่กลับกุมสัดส่วนรายได้สูงถึง 89% สะท้อนถึงการกระจุกตัวของรายได้ในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่
  • ธุรกิจรายใหม่เผชิญความยากลำบาก: ในทางกลับกัน ธุรกิจรายใหม่ (อายุไม่เกิน 5 ปี) มีสัดส่วนเพียง 5% ของจำนวนธุรกิจทั้งหมด และมีส่วนแบ่งรายได้เพียงเล็กน้อย

อุปสรรคต่อการเติบโตของธุรกิจรายใหม่

  • การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม: การกระจุกตัวของรายได้ในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่อาจทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ธุรกิจรายใหม่ต้องเผชิญกับอุปสรรคในการเข้าถึงตลาด ทรัพยากร และเงินทุน
  • อัตราการเลิกกิจการที่เพิ่มขึ้น: ข้อมูลระบุว่าอัตราการเลิกกิจการของธุรกิจรายใหม่เพิ่มขึ้นจาก 10.5% ในปี 2549 เป็น 12.2% ในปี 2558 บ่งชี้ถึงความยากลำบากในการอยู่รอดของธุรกิจใหม่ในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจปัจจุบัน

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม

การขาดนวัตกรรมและการเติบโต: การผูกขาดของธุรกิจขนาดใหญ่อาจเป็นอุปสรรคต่อการสร้างนวัตกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจ เนื่องจากธุรกิจรายใหม่ที่มีศักยภาพในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ อาจไม่สามารถอยู่รอดได้

ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ: การกระจุกตัวของรายได้ในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสังคมอื่น ๆ ตามมา

ไทยกำลังเสียเปรียบ การดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ถดถอย ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในภูมิภาค

ผู้ว่าธปท.ชี้เศรษฐกิจไทยต้องโต  แบบใหม่ เน้นโตในท้องถิ่นที่สากล

ความท้าทายที่ประเทศไทยกำลังเผชิญในการดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค

ส่วนแบ่งตลาด FDI ที่ลดลง

  • ไทย: แม้ว่าส่วนแบ่งตลาด FDI ของไทยจะเพิ่มขึ้นจาก 0.32% ในช่วงปี 2544-2548 มาเป็น 0.63% ในปี 2565 แต่ก็ยังถือว่าต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างมีนัยสำคัญ
  • คู่แข่งในภูมิภาค: อินโดนีเซีย เวียดนาม และมาเลเซีย ต่างมีอัตราการเติบโตของส่วนแบ่งตลาด FDI ที่สูงกว่าไทย โดยอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นจาก 0.07% เป็น 1.39%, เวียดนามเพิ่มขึ้นจาก 0.16% เป็น 1.01% และมาเลเซียเพิ่มขึ้นจาก 0.57% เป็น 0.83% ในช่วงเวลาเดียวกัน

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการดึงดูด FDI

  • สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ: ความไม่แน่นอนทางการเมือง กฎระเบียบที่ซับซ้อน และปัญหาคอร์รัปชัน อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติลังเลที่จะลงทุนในประเทศไทย
  • โครงสร้างพื้นฐาน: แม้ว่าไทยจะมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังคงล้าหลังกว่าบางประเทศในภูมิภาค ซึ่งอาจส่งผลต่อต้นทุนและประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ
  • แรงงาน: แม้ว่าไทยจะมีแรงงานที่มีทักษะ แต่ก็ยังขาดแคลนแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ซึ่งเป็นที่ต้องการของอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
  • แรงจูงใจจากภาครัฐ: ประเทศเพื่อนบ้านหลายแห่งมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่ดึงดูดใจมากกว่า เช่น การลดหย่อนภาษีและสิทธิประโยชน์อื่นๆ

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย

  • การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว: การลดลงของ FDI อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย เนื่องจาก FDI เป็นแหล่งเงินทุนและเทคโนโลยีที่สำคัญ
  • การจ้างงาน: การลงทุนจากต่างประเทศที่ลดลงอาจส่งผลให้เกิดการว่างงานและลดโอกาสในการสร้างงานใหม่
  • การพัฒนาเทคโนโลยี: การขาดแคลน FDI อาจทำให้ไทยพลาดโอกาสในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ

"ศักยภาพท้องถิ่นรอวันปลดล็อก: โอกาสทองของธุรกิจไทยในยุค More Local"

ผู้ว่าธปท.ชี้เศรษฐกิจไทยต้องโต  แบบใหม่ เน้นโตในท้องถิ่นที่สากล

โดยประชากรราว 80% และธุรกิจเกือบ 80% ของประเทศตั้งอยู่นอกเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจมหาศาลที่ยังรอการพัฒนาในระดับท้องถิ่น

โอกาสที่ซ่อนอยู่

  • ตลาดขนาดใหญ่: ประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่นอกเขตเมืองใหญ่ นั่นหมายถึงมีตลาดขนาดใหญ่ที่ธุรกิจสามารถเข้าถึงและตอบสนองความต้องการเฉพาะของคนในท้องถิ่นได้
  • ธุรกิจส่วนใหญ่อยู่นอกเมืองใหญ่: สอดคล้องกับการกระจายตัวของประชากร ธุรกิจส่วนมากก็ตั้งอยู่นอกเขตเมืองใหญ่เช่นกัน ซึ่งบ่งชี้ถึงโอกาสในการพัฒนาและเติบโตของธุรกิจท้องถิ่น
  • การเติบโตของ GDP ในกรุงเทพฯ ชะลอตัว: อัตราการเติบโตของ GDP ต่อหัวประชากรในกรุงเทพฯ ที่เพียง 0.22% บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจในเมืองใหญ่อาจเริ่มเข้าสู่ภาวะอิ่มตัว ทำให้การมองหาโอกาสในต่างจังหวัดเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

"ปลดล็อกศักยภาพท้องถิ่นไทย: ก้าวข้ามความท้าทาย สู่ 'Globally Competitive Localism'"

ผู้ว่าธปท.ชี้เศรษฐกิจไทยต้องโต  แบบใหม่ เน้นโตในท้องถิ่นที่สากล

ผู้ว่าธปท.เผยให้เห็นถึงความท้าทายสำคัญ 3 ประการของธุรกิจท้องถิ่น ได้แก่ การกระจายตัวของประชากร ธุรกิจส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดเล็ก และภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมที่หลากหลาย ทำให้เห็นว่าการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เข้มแข็งและสามารถแข่งขันได้ในระดับโลกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

ความท้าทายที่ต้องเผชิญ

  • ประชากรกระจัดกระจาย: ในขณะที่กรุงเทพฯ มีความหนาแน่นประชากรสูงถึง 3,503 คนต่อตารางกิโลเมตร ภูมิภาคอื่น ๆ มีความหนาแน่นน้อยกว่ามาก เช่น ภาคเหนือ 71 คน ภาคอีสาน 129 คน ภาคใต้ 134 คน และภาคกลาง 169 คนต่อตารางกิโลเมตร การกระจายตัวของประชากรเช่นนี้ทำให้การเข้าถึงลูกค้าและการกระจายสินค้าเป็นไปได้ยากและมีต้นทุนสูง
  • ธุรกิจขนาดเล็ก: ข้อมูลจาก 10 ปีที่ผ่านมาชี้ว่ากว่า 90% ของสถานประกอบการในท้องถิ่นเป็นธุรกิจรายย่อย ซึ่งมักมีข้อจำกัดด้านเงินทุน เทคโนโลยี และการเข้าถึงตลาด ทำให้ยากต่อการขยายธุรกิจและพัฒนาศักยภาพ
  • ภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมที่หลากหลาย: ความแตกต่างด้านภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม และความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละท้องถิ่น ทำให้ธุรกิจต้องปรับตัวและพัฒนาสินค้าและบริการให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ ซึ่งต้องใช้ความเข้าใจและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

ทำอย่างไรให้ท้องถิ่นแข่งขันได้

วิธีทำให้ท้องถิ่นแข่งขันได้คือการสร้าง "Globally Competitive Localism" หรือ "ท้องถิ่นที่สากล" คือ

  • การส่งเสริมจุดแข็งของท้องถิ่น: แต่ละท้องถิ่นมีเอกลักษณ์และทรัพยากรที่แตกต่างกัน การส่งเสริมและพัฒนาจุดแข็งเหล่านี้ เช่น ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม หรือภูมิปัญญาท้องถิ่น จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มและดึงดูดนักลงทุน
  • การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี: การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง โทรคมนาคม และเทคโนโลยีดิจิทัล จะช่วยลดอุปสรรคในการเข้าถึงตลาดและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการท้องถิ่น
  • การพัฒนาทักษะและความรู้: การส่งเสริมการศึกษาและการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะและความรู้ของแรงงานในท้องถิ่น จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
  • การสร้างเครือข่ายและความร่วมมือ: การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน จะช่วยสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจท้องถิ่น

"จากท้องถิ่นสู่สากล: กลยุทธ์สร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจไทยในยุคโลกาภิวัตน์"

ผู้ว่าธปท.ชี้เศรษฐกิจไทยต้องโต  แบบใหม่ เน้นโตในท้องถิ่นที่สากล

ผู้ว่าธปท.เสนอแนวคิดที่น่าสนใจในการเสริมสร้างศักยภาพของธุรกิจท้องถิ่นให้สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก หรือที่เรียกว่า "Globally Competitive Localism" ซึ่งประกอบด้วย 6 กลยุทธ์หลัก

  1. เชื่อมตลาด: การเชื่อมโยงตลาดในท้องถิ่นเข้าด้วยกันจะช่วยให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตและการจัดจำหน่ายลดลง ทำให้ธุรกิจสามารถแข่งขันด้านราคาได้ดียิ่งขึ้น
  2. สร้างมูลค่าเพิ่ม: การสร้างเอกลักษณ์และคุณค่าให้กับสินค้าและบริการท้องถิ่น เช่น การขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indication หรือ GI) จะช่วยเพิ่มมูลค่าและความน่าสนใจให้กับผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะช่วยให้สามารถทำราคาได้สูงขึ้นและเข้าถึงตลาดระดับบนได้
  3. ร่วมมือกับ Partner: การสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ จะช่วยให้ธุรกิจท้องถิ่นสามารถเข้าถึงตลาดใหม่ๆ แหล่งทุน เทคโนโลยี และความเชี่ยวชาญที่จำเป็นต่อการเติบโต
  4. ก็กำลังสำคัญของเมืองรอง: การพัฒนาเมืองรองให้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและสังคม จะช่วยกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคต่างๆ ลดความแออัดในเมืองใหญ่ และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ
  5. ให้ท้องถิ่นสามารถจัดการตนเองได้มากขึ้น: การกระจายอำนาจและให้อิสระแก่ท้องถิ่นในการกำหนดนโยบายและบริหารจัดการทรัพยากร จะช่วยให้เกิดนโยบายที่ตอบสนองความต้องการของแต่ละพื้นที่ได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
  6. สร้างระบบติดตามและประเมินผล: การมีระบบติดตามและประเมินผลการพัฒนาของท้องถิ่น จะช่วยให้สามารถวัดผลและปรับปรุงนโยบายและมาตรการต่างๆ ให้มีความเหมาะสมและทันต่อสถานการณ์อยู่เสมอ

"บทสรุป: ปรับกระบวนทัศน์การเติบโตของประเทศไทย สู่เศรษฐกิจท้องถิ่นที่เข้มแข็งและยั่งยืน"

ผู้ว่าธปท.ชี้เศรษฐกิจไทยต้องโต  แบบใหม่ เน้นโตในท้องถิ่นที่สากล

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนโมเดลการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย จากเดิมที่พึ่งพาการเติบโตจากกรุงเทพมหานครและธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นฐานที่จำกัดและมีข้อจำกัดในการขยายตัว

ข้อจำกัดของโมเดลเดิม

การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในอดีตส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่กรุงเทพมหานครและธุรกิจขนาดใหญ่ ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมที่ชัดเจน

การพึ่งพาฐานที่จำกัดทำให้เศรษฐกิจไทยมีความเปราะบางต่อปัจจัยภายนอก เช่น วิกฤตเศรษฐกิจโลก และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว

แนวคิดใหม่เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน

ธปท. เสนอแนวคิด "ท้องถิ่นที่เข้มแข็ง" เพื่อสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ครอบคลุม และมีความสามารถในการฟื้นตัว โดยมีหลักการสำคัญดังนี้

  • การเติบโตที่ครอบคลุม: กระจายการเติบโตทางเศรษฐกิจไปสู่ภูมิภาคต่างๆ และกลุ่มคนทุกระดับ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ
  • การเติบโตที่มีความยืดหยุ่น: สร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจและส่งเสริมให้แต่ละท้องถิ่นพัฒนาศักยภาพของตนเอง เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถปรับตัวและรับมือกับความผันผวนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การเติบโตที่ยั่งยืน: มุ่งเน้นการพัฒนาที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เพื่อให้เกิดความสมดุลและสามารถเติบโตได้ในระยะยาวอย่างแท้จริง

กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ

การเสริมสร้างศักยภาพของท้องถิ่น: ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของท้องถิ่นในด้านต่างๆ เช่น การศึกษาและพัฒนาทักษะแรงงาน โครงสร้างพื้นฐาน และการเข้าถึงแหล่งเงินทุน

การเชื่อมโยงท้องถิ่นกับตลาดโลก: ส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างท้องถิ่นกับต่างประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการท้องถิ่น

โดยบทสรุปแล้ว การเปลี่ยนผ่านสู่โมเดล "ท้องถิ่นที่เข้มแข็ง" เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประเทศไทยในการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและครอบคลุมในยุคปัจจุบัน ภาคธุรกิจ ภาครัฐ และชุมชนท้องถิ่นต้องร่วมมือกันเพื่อพัฒนาศักยภาพของท้องถิ่น สร้างความเชื่อมโยงกับตลาดโลก และส่งเสริมการเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม เพื่อให้ประเทศไทยสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดเดิม และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT