.
15 ม.ค.65 เว็บไซต์ BBC รายงาน โดยอ้างอิงข้อมูล ของบริษัท ไชนาไลซิส (Chainalysis) บริษัทวิเคราะห์ระบบบล็อกเชน (Blcokchain) พบว่า ปี2021 เป็นอีกหนึ่งปีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดสำหรับแฮกเกอร์เกาหลีเหนือ ที่ปล้นสินทรัพย์ดิจิทัลไปได้แตะหมื่นล้านบาท จากการโจมตีแพลตฟอร์มคริปโตเคอเรนซรี่ โดยจากปี 2020 ถึง 2021 จำนวนแฮกเกอร์ที่เชื่อมโยงกับเกาหลีเหนือ สามารถโจมตีแพลตฟอร์มคริปโตเคอเรนซีเพิ่มขึ้นจาก 4 เป็น 7 ครั้งและสามารถดึงสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มมากขึ้นถึง 40%
สำหรับวิธีการแฮกข้อมูล Chainalysis ระบุว่า กลุ่มแฮกเกอร์เลือกใช้หลากหลายเทคนิค มีการหลอกดึงข้อมูลด้วยอีเมลปลอม หรือหน้าเว็บไซต์ปลอมเพื่อขโมยข้อมูล และเจาะรหัสต่างๆ รวมถึงใช้มัลแวร์เพื่อปล้นเงินจาก Hot Wallets หลังจากนั้นจะย้ายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้ไปอยู่ในบัญชีที่รักษาความปลอดภัยโดยเกาหลีเหนือ
Hot Wallets เป็นกระเป๋าเงินดิจิทัลสำหรับเก็บคริปโทเคอร์เรนซี ที่มีการเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตและเครือข่ายคริปโทฯ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการถูกแฮก ใช้ในการรับและจ่ายคริปโทเคอร์เรนซี และสามารถให้ผู้ใช้งานใช้ตรวจสอบได้ว่ามีเหรียญดิจิทัลอยู่เป็นจำนวนเท่าไหร่ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญจะแนะนำให้นำเหรียญดิจิทัลไปเก็บไว้ใน Cold Wallet ซึ่งไม่ได้เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตในวงกว้าง
Chainalysis ระบุว่า การโจมตีทรัพย์สินดิจิทัลเมื่อปีที่แล้วส่วนใหญ่เป็นฝีมือของ Lazarus Group กลุ่มแฮกเกอร์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของหน่วยข่าวกรองเกาหลีเหนือ ซึ่งกลุ่มนี้ได้ฝากผลงานไว้มากมาย รวมถึงเคยปล่อย WannaCry มัลแวร์เรียกค่าไถ่ กับสถาบันการเงิน รวมถึงเคยโจมตี Sony Pictures ในปี2014 มาแล้วด้วย
ขณะที่ คณะทำงานสหประชาชาติที่ตรวจสอบการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ กล่าวหาว่า เกาหลีเหนือ นำเงินที่ได้จากการขโมยไปสนับสนุนการผลิต ขีปนาวุธ และ อาวุธนิวเคลียร์
แม้เกาหลีเหนือจะตกเป็นเป้าถูกกล่าวหาว่าเป็นอาชญากรไซเบอร์มาโดยตลอด แต่สำนักข่าว BBC รายงานว่า เกาหลีเหนือยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและรู้เห็นกับขบวนการแฮกต่างๆ ที่เกิดขึ้น
และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แฮกเกอร์เกาหลีเหนือพุ่งเป้าโจมตีสินทรัพย์ดิจิทัลในปีที่แล้ว ทางสหรัฐฯ เพิ่งตั้งข้อหากับโปรแกรมเมอร์ชาวเกาหลีเหนือ 3 คนที่ทำงานให้กับหน่วยข่าวกรองของเกาหลีเหนือ หลังแอบแฮกข้อมูลมหาศาลติดต่อกันหลายปี โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือปล้นทรัพย์สินและเงินดิจิทัลมูลค่ากว่า 1.3 พันล้านเหรียฐสหรัฐฯ หรือประมาณ 4.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อแวดวงธุรกิจมากมายตั้งแต่ธนาคารไปจนถึงวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูด
ที่มาข้อมูล
https://www.bbc.com/news/business-59990477