ปี 2566 หลายคนเริ่มกังวลสถานการณ์เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่เศรษฐกิจไทยกลับตรงกันข้าม เริ่มเห็นสัญญาณเป็นบวกมากขึ้น เมื่อเปิดประเทศตั้งแต่เดือนต.ค.2565 นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในไทยมากขึ้น เศรษฐกิจเริ่มกลับมาคึกคัก สถานการณ์เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะเหมือนช่วงก่อนโควิด
ภาคธุรกิจเริ่มกลับมาวางแผนการลงทุนในปีนี้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่หลายบริษัทประกาศแผนธุรกิจในปีนี้ เดินหน้ารุกกันอย่างเต็มที่ ซึ่งทาง Spotlight จะพาไปเห็นภาพว่า แต่ละบริษัทมีแผนการลงทุนเดินหน้าทำธุรกิจกันอย่างไร ด้วยกลยุทธ์อะไรกันบ้าง
2023 AP INCLUSIVE GROWTH ที่สุดของปีกับการเติบโตร่วมกัน
เริ่มจาก บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด(มหาชน) ประกาศปี 2566 ดำเนินธุรกิจภายใต้แผน 2023 AP INCLUSIVE GROWTH ที่สุดของปีกับการเติบโตร่วมกัน ด้วยแผนการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ควบคู่ไปกับการขยายภาคธุรกิจ
“ โดยใช้ความชำนาญที่มีมาสร้างโอกาส และข้อได้เปรียบให้เกิดขึ้นในหลากหลายมิติ ภายใต้ปรัชญาที่ต้องการส่งมอบชีวิตดีๆ ที่ทุกคนเลือกเองได้ จากปีที่ผ่านมากับการตั้งเป้าให้เป็นที่สุดของปีกับการเดินหน้าฝ่าทุกข้อจำกัด ด้วยแผนธุรกิจที่สร้างความตื่นเต้นและตอกย้ำความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม” นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ AP กล่าว
โดยจะดำเนินงานผ่าน 3 มิติดังต่อไปนี้
โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้าเปิดตัวโครงการใหม่ที่มีมูลค่ามากที่สุดในตลาด จำนวน 58 โครงการ มูลค่ากว่า 77,000 ล้านบาท แบ่งเป็น
โครงการในต่างจังหวัด 5 โครงการ มูลค่า 4,000 ล้านบาท
ในปี 2566 AP จะมีโครงการพร้อมขายทั้ง กทม. และต่างจังหวัดมากกว่าถึง 192 โครงการ มูลค่ากว่า 165,600 ล้านบาท โดยตั้งเป้ายอดขาย 58,000 ล้านบาท เป้ารายได้รวม 100% JV ที่ 57,500 ล้านบาท
นอกจากนี้ AP เจาะกลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยว เดินเกมส์ชิงแชร์ตลาดบ้านหรูราคา 20 - 100 ล้านบาท ส่ง THE CITY บ้านโมเดลใหม่ 100 ตารางวา - อัพสเกลคฤหาสน์หรู THE PALAZZOตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มมั่งคั่ง - พร้อมปล่อยบ้านกลางกรุงเจาะตลาดบ้านในเมือง
สำหรับทาวน์โฮมเล็งครองผู้นำตลาดบ้านแฝดในเมือง ส่งบ้านแฝด 3 ชั้น และ 2 ชั้นดีไซน์ใหม่ ชูจุดขายหน้ากว้างถึง 13.5 เมตร พร้อมเตรียมเปิดบ้านกลางเมือง คลาสเซ่ รัชโยธิน ลักชัวรีทาวน์โฮมในเมือง
สุดท้ายกลุ่มธุรกิจคอนโดขานรับภาพตลาดกลับมาสดใส เตรียมรับรู้รายได้ล็อตใหญ่จาก 4 คอนโดพร้อมอยู่ พร้อมสานต่อ 10 ปีความร่วมมือกับทาง มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ปตอกย้ำความเชื่อมั่นกับการเป็นบริษัทร่วมทุนหนึ่งเดียวที่ยังคงสานต่อความร่วมมือมาอย่างยาวนาน
2022 AP THAILAND BREAKTHROUGH คือ การก้าวข้ามทุกข้อจำกัด
โดยปีที่ผ่านมาบริษัทได้กำหนดให้เป็นที่สุดแห่งปี คือ BREAKTHROUGH ทุกข้อจำกัด เพื่อสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดให้เกิดขึ้น โดยผลการดำเนินงานที่ผ่านมามากกว่าการสร้าง New High Record แต่คือ การ BREAKTHROUGH ก้าวข้ามในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านจำนวน การเปิดตัว โครงการใหม่ที่มากถึง 51 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 63,600 ล้านบาท
ยอดขายสุทธิที่ทำได้เกินจากเป้าที่ตั้งไว้ ที่ 50,415 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้าถึง 44% รวมถึงยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่เพิ่มมากขึ้น และคาดว่าจะเกินจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง และความพร้อมที่เกิดขึ้นจากการบริหารจัดการองค์กรภายใน
แสนสิริเดินหน้าทุบสถิติ ลุยเปิด 72 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 7.5 หมื่นล้านบาท
“ ปี 2566 แสนสิริยังคงเดินหน้าเติบโตต่อไปอย่างแข็งแกร่ง ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับสังคมและการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความยั่งยืนในอนาคต มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 52 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 75,000 ล้านบาท นับเป็นการทุบสถิติเปิดตัวโครงการใหม่มูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 30 โครงการ และคอนโดมิเนียม 22 โครงการ พร้อมตั้งเป้าหมายยอดขายในปี 2566 ไว้ที่ 55,000 ล้านบาท เป้าหมายรายได้รวม 40,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์รวมถึงเป้าหมายกำไรสุทธิ ที่จะทุบสถิติ ALL-Time High พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท” นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าว
ขณะที่ในปี 2565 ยอดขาย ทะลุ 50,000 ล้านบาท โต 49% จากปีก่อน พร้อมยอดโอนทะลุเป้า 36,800 ล้านบาท
SANSIRI ปี 2023 เดินหน้าเต็มสูบ เติบโตอย่างยั่งยืน
ด้านนายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ (SIRI) กล่าวว่า ปีนี้ แสนสิริจะก้าวแกร่งเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยกลยุทธ์สำคัญ ภายใต้ 3 กุญแจสำคัญขับเคลื่อนองค์กร ได้แก่ รุกขยายธุรกิจเต็มสูบ สนับสนุนการฟื้นตัวของอุตสาหกรรม
โดยวางแผนเปิดตัว 52 โครงการใหม่ มูลค่ารวมสูงถึง 75,000 ล้านบาท ซึ่งจะนับเป็นการเปิดโครงการใหม่มูลค่ารวมสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ เติบโตขึ้นจากปีก่อน 74% และโตขึ้นจากช่วงเกิดโควิดถึง 1,000% หรือ 10 เท่าตัว ครอบคลุมทุกโปรดักส์ ทั้งคอนโดมิเนียม - บ้านเดี่ยว – บ้านแฝด – ทาวน์โฮม ทุกเซกเมนต์ระดับราคารองรับทุกความต้องการ และครอบคลุมในทุกทำเล เจาะกลุ่ม real demand
โดยเฉพาะแนวราบ วางแผนเปิดตัว 30 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 50,700 ล้านบาท ซึ่งโครงการแนวราบที่เป็นไฮไลท์ในปีนี้ ได้แก่ การเปิดตัว “นาราสิริ พหล – วัชรพล” มูลค่าโครงการ 5,300 ล้านบาท จากการ Sold out ปิดการขาย นาราสิริ กรุงเทพกรีฑา ในเวลาเพียง 1 เดือน ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดอสังหาฯ ซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ไทย จากความเชื่อมั่นและการยอมรับจากลูกค้าระดับบน ทั้งในแบรนด์และคุณภาพของโครงการแสนสิริ รวมถึงความเข้าใจในตัวตนและรสนิยมการอยู่อาศัยที่แท้จริง นอกจากนี้ แสนสิริยังมีแผนต่อยอดความสำเร็จของแบรนด์ “บูก้าน”
พร้อมเปิดตัว 9 แบรนด์ใหม่จากแสนสิริ ที่ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ เพื่อขยายในแต่ละ Portfolio ให้แข็งแกร่งและครอบคลุมทุกความต้องการและระดับราคามากยิ่งขึ้น ตั้งแต่แบรนด์ที่อยู่ใน Sansiri Luxury Collection ที่จะขยายพอร์ตลักซ์ชัวรี เซกเมนต์ของแสนสิริให้โตขึ้นแบบก้าวกระโดด ได้แก่ No.19 (นัมเบอร์ นายทีน) และ Sirinsiri (สิริณสิริ) แบรนด์ใหม่ในระดับพรีเมียม เซกเมนต์ ได้แก่ Narinsiri (ณริณสิริ) และ Ombré (ออมเบร) รวมทั้งแบรนด์คอนโดมิเนียมใหม่ ได้แก่ HUB (ฮับ) และ Cabanas (กาบานาส) ทำเลหัวหิน ที่จะเริ่มทยอยเปิดตัวแบรนด์ใหม่ต่างๆ ในปีนี้ เพื่อตอกย้ำ Forward Thinking Brand และความเป็น First Mover ของแสนสิริ
สำหรับคอนโดมิเนียม อีก 22 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 24,300 ล้านบาท โตขึ้นจากปีก่อนถึง 151% โดยคอนโดมิเนียม ที่เป็นไฮไลท์ในปีนี้ ได้แก่ การเปิดตัว New Luxury Condominium ในสุดยอดทำเลศักยภาพ อาทิ ทำเลใจกลางเมืองอย่าง “อารีย์” และ “ราชเทวี” การเปิดตัวคอนโดมิเนียม แบรนด์ใหม่ที่เป็น One of a kind Project หรือแบรนด์ใหม่ที่มีความโดดเด่นบนโลเคชั่นเดียว อาทิ Cabanas Huahin และ อีก 2 แบรนด์คอนโดมิเนียมไลฟ์สไตล์ในย่านสุขุมวิท ประเดิมต้นปีด้วยการรุกตลาดคอนโดฯ ในไตรมาสแรก ด้วยการรีเฟรชแบรนด์ “ดีคอนโด” ซึ่งเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งของแสนสิริในกลุ่มคอนโดฯ ราคาเข้าถึงง่าย
อันดับ 1 อสังหาฯ ไทยในใจต่างชาติ
แสนสิริยังได้รับปัจจัยบวก “การกลับมาของตลาดต่างชาติ” โดยวางเป้าหมายยอดขายและยอดโอนตลาดต่างชาติในปีนี้ไว้กว่า 12,000 ล้านบาท โตขึ้น 54% จากปีก่อน ที่มียอดขายจากตลาดต่างชาติ 7,800 ล้านบาท ตอกย้ำเบอร์หนึ่งแบรนด์อสังหาไทยในใจตลาดต่างชาติ ที่แข็งแกร่งจากการเป็นผู้บุกเบิกการขายอสังหาฯ ในต่างประเทศเป็นรายแรกของไทย ครองใจแบรนด์อสังหาฯ ไทยในใจตลาดต่างชาติมากว่า 10 ปี ส่งผลให้ได้รับความเชื่อมั่นในกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ
ด้วยกลยุทธ์การรุกตลาดต่างชาติในปีนี้ แสนสิริจะรุกตลาดในกลุ่ม CLMV (Cambodia, Laos, Myanmar, Vietnam) เพื่อขยายตลาดต่างชาติให้กว้างขึ้นจาก จีน ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ และรัสเซีย ซึ่งแสนสิริมีฐานลูกค้าต่างชาติในกลุ่มนี้อยู่แล้ว จากการมองเห็นกำลังซื้อจากตลาดประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบประเทศไทย
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์บุกหนักแบบ All Time High
ปี 2566 บริษัทจะเดินหน้าแผนธุรกิจ “LifeScape at a New Height” ผลักดันความแข็งแกร่งและศักยภาพ เพื่อการเติบโตสู่อีกขั้น โดยมี 3 ด้านหลักที่มุ่งผลักดัน ได้แก่ 1.Solidify Residential-Scape ผลักดันความแข็งแกร่งให้กลุ่มธุรกิจหลัก 2.Fortify LifeScape & PetScape ตอกย้ำความแข็งแกร่งให้จุดเด่นของแบรนด์ และ 3.Diversify Revenue ปรับสัดส่วนประเภทของธุรกิจหลัก พร้อมผลักดันความแข็งแกร่งธุรกิจใหม่
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เดินหน้ารุกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แบบ All Time High เปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุดในประวัติศาสตร์การก่อตั้ง 24 ปี จำนวน 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 14,700 ล้านบาท ดังนี้
“แม้ในช่วงที่ผ่านมา เราจะชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ลงไป แต่เราไม่ได้อยู่เฉยๆ เราผ่าตัดองค์กรหลายๆ ด้าน เพื่อให้พร้อมรองรับการพลิกโฉมการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ทั้งการแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง มาดูแลด้านการพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้าหรือ Customer Experience โดยตรง การปรับวิธีคิดของพนักงานให้เป็น Warrior Mindset มีวิธีคิดแบบนักสู้ พร้อมรับมือทุกสถานการณ์ รวมถึงได้ทยอยลงทุนด้าน Digital Transformation พัฒนา Future Platform วางรากฐานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ปีนี้และปีหลังจากนี้ เรามั่นใจว่าจะสร้างการเติบโตสู่อีกระดับ” นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซูรีและโครงการที่อยู่อาศัยที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ (Pet-Friendly Residences) กล่าว
เป็นอันดับ 1 โครงการที่อยู่อาศัยเลี้ยงสัตว์ได้ทุกโครงการ
สำหรับด้าน Fortify LifeScape & PetScape ตอกย้ำความแข็งแกร่งให้จุดเด่นของแบรนด์ จับมือพันธมิตร พัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก บริการ กิจกรรม สิทธิพิเศษต่างๆ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตทั้งในและนอกที่อยู่อาศัยของทั้งคนและสัตว์เลี้ยง
ตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับ 1 โครงการที่อยู่อาศัยเลี้ยงสัตว์ได้ทุกโครงการ (No.1 Pet-Friendly Residences) รวมถึงจับมือพันธมิตรด้านคุณภาพการออกแบบ การก่อสร้าง วัสดุ เพื่อสร้างสรรค์งาน Craft & Quality พร้อมทั้งเดินหน้ายกระดับความเป็นอยู่ที่ดีของคนในสังคมผ่านโครงการ Care-Share-Change ทั้งการติดตั้งเครื่องฟอกอากาศขนาดใหญ่ตามไซต์ก่อสร้าง รวมถึงการจัดถังขยะสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ การช่วยเหลือสัตว์เลี้ยงผ่านมูลนิธิต่างๆ
ขณะที่ด้าน Diversify Revenue คือการปรับสัดส่วนโดยเพิ่มการพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น อีกทั้ง ยังขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ LifeScape Developer ด้วยการขยายธุรกิจใหม่ๆ ให้ครอบคลุมทุกมิติการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคอีก 2 ธุรกิจ คือ HealthScape และ TechScape
นางสาวเพชรลดา กล่าวอีกว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยและภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ มีแนวโน้มฟื้นตัวที่ดี โดยเฉพาะจากภาคการท่องเที่ยว ที่จะช่วยสร้างเม็ดเงินสะพัด เพิ่มบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอย กำลังซื้อให้แก่ตลาด โดยบริษัทมั่นใจว่า ภาพรวมธุรกิจของเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จะเติบโตได้อย่างมั่นคงและแข็งแกร่ง สร้างยอดขายจากโครงการที่อยู่อาศัยตลอดปี 2566 ที่ 7,000 ล้านบาท และสร้างรายได้รวมที่ 5,000 ล้านบาท
บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซูรี มีธุรกิจหลักในเครืออยู่ 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1.กลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย 2.กลุ่มโครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ เช่น ออฟฟิศและโรงแรม 3.กลุ่มธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ มีวิสัยทัศน์ในการเติบโตอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างโครงการระดับลักซูรีที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค
ศุภาลัยตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 36,000 ล้านบาท
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บมจ.ศุภาลัย (SPALI) กล่าวว่า ในปี 66 ตั้งเป้ายอดขาย 3.6 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่ทำยอดขายได้ 3.24 หมื่นล้านบาท และวางเป้าหมายรายได้ที่ 3.6 หมื่นล้านบาท
ปีนี้บริษัทมุ่งเน้นสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ด้วยความมั่นคงและยั่งยืน เตรียมเปิดโครงการภูมิภาคต่างๆ ในจังหวัดใหม่ๆ ที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยและมีศักยภาพ ซึ่งปีนี้เสริมความแข็งแกร่งพัฒนาโครงการใหม่ใน 5 จังหวัดใหม่ ได้แก่ ลำปาง ลำพูน นครปฐม ราชบุรี และจันทบุรี จากปัจจุบันศุภาลัยพัฒนาโครงการครอบคลุม 28 จังหวัด
ขณะเดียวกันยังขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อการให้บริการลูกค้าอย่างเต็มที่ เช่น Supalai Sabai แอปพลิเคชันที่ช่วยให้ลูกบ้านศุภาลัยใช้ชีวิตในบ้านได้สบายยิ่งขึ้น ทั้งการจ่ายบิล แจ้งซ่อม มีสิทธิพิเศษหลากหลาย อัพเดททุกข่าวสาร เป็นต้น
ปีนี้เปิดโครงการใหม่ 37 โครงการ มูลค่ารวม 4.1 หมื่นล้านบาท
บริษัทวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 37 โครงการ มูลค่ารวม 4.1 หมื่นล้านบาท
โดยตั้งงบซื้อที่ดิน 8 พันล้านบาท โดยบริษัทขยายการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ประเทศออสเตรเลีย ได้มีการลงทุนไปแล้ว 12 โครงการ มูลค่า 5.26 หมี่นล้านบาท ด้วยเม็ดเงินลงทุนรวมของศุภาลัย 9.74 พันล้านบาท
ANANDA โครงการใหม่ 2 โครงการ มูลค่ากว่า 14,600 ล้านบาท
นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2566ถือเป็นปีแห่งโอกาส โดยเริ่มเห็นสัญญาณบวกต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565ที่มีแนวโน้มการเติบโตตามสภาพเศรษฐกิจจากได้รับปัจจัยบวกจากภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่กลับมาคึกคักอีกครั้งหลังมีการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ
ปีนี้บริษัทแผนการเปิดโครงการใหม่ 2 โครงการมูลค่ากว่า 14,600 ล้านบาท ได้แก่ คอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ บนทำเลใจกลางสุขุมวิท เป็นความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก ความร่วมมือในการพัฒนาโครงการในรูปแบบ Branded Residence ที่มีมูลค่าโครงการประมาณ 6,500 ล้านบาท เพื่อรองรับดีมานด์ระดับลักชัวรี่ของกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ด้วยการเปิดตลาดซูเปอร์ อัลตราลักชัวรี บนถนนสุขุมวิท38 ราคาต่อยูนิต 150-300 ล้านบาท เฉลี่ยตารางเมตรละ 250,000 ล้านบาทโครงการที่ 2 คือ ไอดีโอ พหล – สะพานควาย ทำเลติดรถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีสะพานควาย มูลค่า8,100 ล้านบาทที่ดีไซน์ใหม่ ในรูปแบบของกับไฮบริด ซีรี่ส์ เพื่อชีวิตคน GEN C ตอบโจทย์การใช้ชีวิต LIVE – WORK – PLAY – LEARN
ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 1.8 หมื่นล้านบาท
โดยการนำเสนอสินค้าพร้อมอยู่พร้อมโอน จำนวน 30 โครงการมูลค่า 45,000 ล้านบาท แบ่งตามพอร์ตดังนี้ คือ โครงการที่เป็นRTM (READY TO MOVE) มูลค่า 34,880 ล้านบาท โครงการที่จะสร้างเสร็จ ในปีนี้มูลค่า 10,012 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้ 14,500 ล้านบาท เติบโต 20% จากปีที่ผ่านมาพร้อมกลับมามีกำไรอีกครั้ง เป้ายอดขาย 18,000 ล้านบาท ส่วนกรณีแอชตัน อโศก คาดว่าจะสิ้นสุดปีนี้หากผลคดีชนะจะสามารถรับรู้ยูนิตที่เหลือได้อีก 1,000ล้านบาท
สำหรับแผนลงทุนการซื้อที่ดินใหม่สำหรับปี 2566 บริษัทได้วางงบรวมไว้ที่ 5,860 ล้านบาท แบ่งเป็น 1,260 ล้านบาทสำหรับ โครงการแนวราบ 2 โครงการ 3,500 ล้านบาท สำหรับโครงการคอนโด 2 โครงการ และ 1,100 ล้านบาท สำหรับเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ใหม่ 2 โครงการ ซึ่งมูลค่าโครงการรวมทั้งหมด 17,600 ล้านบาท
พฤกษาตั้งเป้ารายได้รวมปีนี้ราว 3 หมื่นล้านบาท
นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปี 2566 คาดการณ์รายได้รวมของทั้งกลุ่มประมาณ 30,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 5% จากปีก่อน
โดยบริษัทเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 23 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 23,500 ล้านบาท และยังมีแผนการลงทุนในธุรกิจใหม่อีกราว 6,000 ล้านบาทด้วย ซึ่งการลงทุนในธุรกิจใหม่จะเริ่มมีความชัดเจน ทั้งธุรกิจโลจิสติกส์ รวมถึงการปรับโครงสร้างของธุรกิจพรีคาสท์ที่คาดว่าจะมีรายได้ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามแผนงานการสร้างความยั่งยืนแก่องค์กรต่อไป
นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายปีนี้ที่ 24,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดโอนที่ 28,000 ล้านบาท มุ่งสร้างคุณค่าเพิ่มเพื่อลูกค้า (Customer Value) ด้วยการพัฒนาลิฟวิ่งโซลูชั่น (Living Solution) รองรับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปตามเมกะเทรนด์ของโลก
โดยคำนึงถึงการสร้างความยั่งยืน (Sustainability) อย่างต่อเนื่อง และในปีนี้ มีแผนการซื้อที่ดินราว 5,000 ล้านบาท มุ่งเน้นทำเลที่มีศักยภาพเพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ในระดับพรีเมียมเพิ่มขึ้น และมุ่งผสานความร่วมมือระหว่างธุรกิจในเครือพฤกษาทั้งธุรกิจด้านสุขภาพ และธุรกิจอื่นในเครือที่กำลังจะเปิดตัวในปีนี้ด้วย
ปี 2565 มีกำไรสุทธิ 2,772 ล้านบาท โต 18%
ในปี 2565 พฤกษา โฮลดิ้ง มีกำไรสุทธิ 2,772 ล้านบาท เติบโต 18% จากปีก่อน โดยมีรายได้ใกล้เคียงกับปี 2564 ที่ 28,640 ล้านบาท ติบโต 1% สามารถทำกำไรขั้นต้นได้ดีขึ้น 9% สะท้อนถึงการบริหารจัดการต้นทุนของสินค้าและบริการได้ดี จากการนำวิศวกรรมคุณค่ามาใช้ (Value Engineering) ทั้งเรื่องการพัฒนาใช้แผ่นพื้นคอนกรีตสำเร็จรูปชนิดมีรูกลวง (Hollow Core) การออกแบบคานคอดิน (Ground Beam) และการเชื่อมซีเมนต์ (Cement Jointing) แบบใหม่ในขั้นตอนการก่อสร้าง รวมถึงการนำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) เข้ามาใช้เพื่อลดต้นทุนการก่อสร้าง จากปริมาณการใช้ซีเมนต์ที่ลดลง พร้อมกับลดค่าขนส่งและจำนวนชั่วโมงการทำงานที่ลดลงด้วย