ขณะที่ มามายัน จาบาเตะห์ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 จากมหาวิทยาลัยชิคาโกของสหรัฐฯ กำลังเขียนรายงานในหอพักของมหาวิทยาลัย เธอได้ยินเสียงเคาะประตูที่เปลี่ยนชีวิตเธอไปอย่างสิ้นเชิง เจ้าหน้าที่ตำรวจชิคาโก 4 นายได้โชว์รูปถ่ายที่เธอเข้าร่วมการประท้วงสนับสนุนปาเลสไตน์ในวันที่ 11 ตุลาคม ก่อนจะจับเธอใส่กุญแจมือ และลากตัวไปคุมขังยาวนานถึง 30 ชั่วโมง หลังจากนั้น เธอยังได้รับโทษพักการเรียนอย่างไม่มีกำหนด ห้ามเข้าเขตพื้นที่มหาวิทยาลัย และถูกบังคับให้ลาออกจากหอพักโดยสมัครใจอีกด้วย
นับตั้งแต่ที่อิสราเอลเปิดฉากสงครามในฉนวนกาซาเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2023 นักศึกษาหลายพันคนหลั่งไหลเข้าสู่สนามหญ้าของมหาวิทยาลัยและพื้นที่ส่วนกลางอื่น ๆ เพื่อประณามการกระทำของอิสราเอลและการสนับสนุนของสหรัฐฯ ในช่วงที่การประท้วงรุนแรงที่สุดในเดือนเมษายนและพฤษภาคม ปีถัดมา ได้มีการตั้งเต็นท์พักแรมขึ้นตามมหาวิทยาลัยหลายแห่งทั่วประเทศ รวมทั้งมหาวิทยาลัยชิคาโกด้วย ฝ่ายบริหารของมหาวิทยาลัยหลายแห่งเลือกที่จัดการปัญหานี้ด้วยการเรียกตำรวจท้องถิ่นตรึงกำลัง สุดท้ายจบด้วยความรุนแรงระหว่างนักศึกษาและเจ้าหน้าที่ ผู้ประท้วงในมหาวิทยาลัยถูกจับกุมเป็นจำนวนมาก ในเดือนกรกฎาคมมีผู้ถูกจับกุมมากถึง 3,100 คน เลยทีเดียว
แต่เนื่องจากการชุมนุมมีขนาดลดลงในปีที่ผ่านมา นักศึกษาเปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยต่างๆ หันมาโจมตีนักศึกษาเป็นรายบุคคลด้วยการลงโทษทางวินัยที่รุนแรง เช่น พักการเรียนนานหลายเดือนหรือบางกรณีเป็นปี ๆ ในกรณีของ จาบาเตะห์ เธอเข้าร่วมการชุมนุมประท้วงในวันที่ 11 ตุลาคม ปี 2024 ซึ่งนับว่าเป็นช่วงครอบรอบ 1 ปีที่อิสราเอลเปิดฉากโจมตีในกาซา เธอเข้าร่วมงาน "สัปดาห์แห่งความโกรธแค้น" นำโดย Students for Justice in Palestine องค์กรนักศึกษาที่สนับสนุนปาเลสไตน์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ
ภาพหนึ่งจากการประท้วงแสดงให้เห็นจาบาเตะห์กำลังดึงมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังโบกกระบองอยู่ อีกภาพหนึ่งเผยให้เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจดึงข้อมือของผู้ประท้วง ท้ายที่สุด เธอถูกตั้งข้อหากระทำความผิดสองกระทง คือ ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ตำรวจ และต่อต้านหรือขัดขวางเจ้าหน้าที่ตำรวจในการประท้วง มิหนำซ้ำมหาวิทยาลัยชิคาโกประกาศให้นักศึกษาชั้นปีที่ 4 ผิวดำจากเซาท์ไซด์คนนี้ เป็นภัยคุกคามต่อมหาวิทยาลัย
เมแกน พอร์เตอร์ ทนายความจาบาเตะห์ที่ไม่คิดค่าใช้จ่ายในการว่าความ เปิดเผยกับสำนักข่าวอัลจาซีราว่า การกล่าวหานักศึกษาที่ออกมาประท้วงว่าเป็น "ภัยคุกคาม" ถือเป็นการยกระดับความรุนแรงขึ้นอย่างมาก มหาวิทยาลัยอยากไล่นักศึกษาออกไปให้พ้น ๆ แต่กลับมีหลักฐานว่าพวกเขาตั้งใจก่อความวุ่นวายน้อยเหลือเกิน เมแกนมองว่าการปราบปรามผู้สนับสนุนปาเลสไตน์มีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงปีที่ผ่านมา และดูเหมือนว่ามหาวิทยาลัยต่าง ๆ จะดำเนินการที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
มหาวิทยาลัยชิคาโกไม่ใช่เพียงสถาบันการศึกษาแห่งเดียวเท่านั้น ที่ลงโทษนักศึกษาอย่างรุนแรง นักศึกษามหาวิทยาลัยมินนิโซตาทั้งหมด 7 คน ต้องเผชิญกับการพักการเรียนนานสูงสุดสองปีครึ่ง และต้องจ่ายค่าเสียหายคนละ 5,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากที่นักศึกษาเหล่านี้ เข้ายึดครองอาคารเรียนที่พวกเขาเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "Halimy Hall " ตามชื่อ TikTok ของชาวปาเลสไตน์วัย 19 ปี ที่เสียชีวิตในการโจมตีของอิสราเอลในฉนวนกาซาเมื่อปีที่แล้ว
ขณะที่นักศึกษา 11 คนของมหาวิทยาลัยนิวยอร์กถูกพักการเรียนเป็นเวลา 1 ปี หลังจากจัดการนั่งประท้วงโดยสันติในห้องสมุดเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยนิวยอร์กยังประกาศให้คณาจารย์ประจำ 2 รายเป็น "บุคคลที่ไม่พึงปรารถนา" เนื่องจากเข้าร่วมการนั่งชุมนุมดังกล่าว ซึ่งทำให้คณาจารย์เหล่านั้นไม่สามารถเข้าถึงอาคารเรียนบางแห่งได้
ริฟกา ฟาลาเนห์ สมาชิกกลุ่ม Palestine Legal ซึ่งเป็นกลุ่มรณรงค์สนับสนุนปาเลสไตน์ กล่าวว่า มีผู้คนจำนวนมากที่บอกว่าการประท้วงลดลงแล้ว แต่เธอคิดว่าเป็นเพราะนักศึกษาไม่กล้าต่อกรกับฝ่ายบริหารของมหาวิทยาลัยมากกว่า
“ในปี 2025 นี้ เราจะหาคุณจนเจอ และเนรเทศคุณออกจากอเมริกา”
คำพูดเหล่านี้ ออกมาจากปากของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อหน้านักศึกษาต่างชาติที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการประท้วง ซึ่งหลังจากที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งเพียง 9 วัน เขาได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อประณาม "คลื่นแห่งการเลือกปฏิบัติต่อชาวยิว การก่ออาชญากรรม และความรุนแรงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน" ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ของสหรัฐฯ เขายังกล่าวว่า “ผมจะยกเลิกวีซ่านักศึกษาที่สนับสนุนฮามาสทั้งหมด เพราะมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ เกิดเหตุก่อการร้ายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
ฟาลาเนห์ตั้งข้อสังเกตว่าเดิมพันที่สูงและการลงโทษที่หนักหน่วงเป็นสาเหตุของการตอบสนองต่อนโยบายของทรัมป์อย่างเงียบ ๆ โดยมีการประท้วงในมหาวิทยาลัยเพียงเล็กน้อยต่อการปราบปรามผู้อพยพ เธอกล่าวว่า มหาวิทยาลัยพยายามอย่างหนักที่จะปิดปากไม่ให้นักเรียนออกมาเรียกร้องให้ชาวปาเลสไตน์ โรงเรียนยังปิดปากไม่ให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นที่ต่อต้านทรัมป์อีกด้วย