หลังจากที่ ‘โดนัล ทรัมป์’ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ตลาดการลงทุนโลกคึกคัก โดยเฉพาะ ‘บิทคอยน์’ และ ‘หุ้นที่เกี่ยวข้อง’ ได้รับประโยชน์สูงสุด ขณะที่ ‘ทองคำ’ และ ‘ตลาดหุ้นจีน’ อาจได้รับผลกระทบเชิงลบระยะสั้น แต่ระยะยาวมีโอกาสฟื้นตัวกลับมาได้ จากการอัดฉีดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน
ณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) ประเมินภาพรวมการลงทุนในตลาดโลก หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาแข็งค่าอย่างรวดเร็ว เนื่องจากพรรครีพับลิกันมีนโยบายทางเศรษฐกิจที่อิงกับการกระตุ้นเศรษฐกิจเฉพาะ ในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก
โดย ‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ มีการปรับค่าสูงขึ้น เห็นได้จากราคาบิตคอยน์ล่าสุด ที่ปรับขึ้นมาทำจุดสูงสุดใหม่ที่ระดับเกินกว่า 80,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากนโยบายที่ชัดเจนของ ‘ทรัมป์’ ในการส่งเสริมบิตคอยน์ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนเพื่อใช้เป็นทุนสำรองแห่งชาติ และสนับสนุนการขุดบิตคอยน์โดยไม่เก็บภาษี รวมถึงหุ้นที่เกี่ยวข้องกับบิตคอยน์ก็จะได้รับประโยชน์ไปด้วยเช่นกัน
ส่วน ‘หุ้น’ ที่ได้ประโยชน์ทางอ้อมในรอบนี้น่าจะเป็นหุ้นของ Tesla ของ ‘อีลอน มัสก์’ ที่ออกตัวอย่างชัดเจนว่า สนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ จึงมีแรงซื้อเก็งกำไรเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จากความคาดหวังว่าจะมีนโยบายที่ส่งเสริมธุรกิจของอีลอน มัสก์ อย่างไรก็ตาม นี่เป็นแค่เก็งกำไรระยะสั้นไปก่อน เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนว่า จะมีนโยบายอะไรออกมาใหม่
สำหรับราคา ‘ทองคำ’ มีการปรับตัวลดลง โดยมีสาเหตุมาจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า และมีแนวโน้มที่สหรัฐฯ จะถอนกำลังทหาร และการช่วยเหลือทางทหารออกจากภูมิภาคต่างๆ ทำให้แนวโน้มความไม่สงบทางภูมิรัฐศาสตร์ต่างๆ จะเริ่มชะลอลง ส่งผลลบต่อราคาทองคำที่มักจะให้ผลตอบแทนดีในภาวะความไม่สงบ
แต่ทองคำ ยังคงมีโอกาสเดินหน้าสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ จากการที่อัตราเงินเฟ้ออาจจะกลับมาสูงขึ้น รวมถึงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่กลับมาแข็งค่า ถึงอย่างไร ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED ยังมีแนวโน้มลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง ก็จะเป็นแรงหนุนราคาทองคำในระยะยาว
ด้านสินทรัพย์การลงทุนใน ‘ประเทศจีน’ อาจมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นจีนจากนโยบายที่กีดกันการค้า และนโยบายเพิ่มภาษีกับธุรกิจจากจีนอีกครั้ง โดยเฉพาะการจำกัดด้านเทคโนโลยี เพราะในระหว่างการหาเสียง โดนัล ทรัมป์ ได้ประกาศจะเพิ่มภาษีธุรกิจจากจีนถึงระดับ 60% จึงเป็นไปได้ว่า ตลาดหุ้นจีน
โดยเฉพาะหุ้น ‘เทคโนโลยี’ จะได้รับแรงกดดันหลังจากนี้ และนโยบายลดโลกร้อน อาจจะส่งผลกระทบต่อหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือก แต่ในทางกลับกันก็จะส่งผลบวกต่อราคาน้ำมัน หรือ หุ้นในกลุ่มพลังงานรูปแบบดั้งเดิมแทน โดยหุ้นรถยนต์ไฟฟ้าจีน มีโอกาสได้รับผลกระทบมากที่สุด จึงเป็นไปได้ว่าบางบริษัทอาจต้องถอนตัวจากการทำตลาดในสหรัฐอเมริกา
รวมถึงหุ้นในกลุ่ม ‘เซมิคอนดักเตอร์’ ที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะใช้นโยบายกีดกันการนำเข้าผลิตภัณฑ์ชิปเซมิคอนดักเตอร์จากจีน ขณะเดียวกันบริษัทสัญชาติอเมริกาที่มีทำธุรกิจกับบริษัทเทคโนโลยีจีน ก็จะถูกระงับการส่งออกด้วยเช่นกัน ซึ่งน่าจะเห็นการตอบโต้กันไปมาของประเทศ 2 ผู้นำ ทางการค้าเหล่านี้เกิดขึ้นอีกครั้ง
ดังนั้น นักลงทุนจึงต้องติดตามตลาดหุ้นจีนอย่างต่อเนื่อง เพราะแม้ในอดีตจะได้รับแรงกดดันเวลาที่โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้นำ แต่ตอนนี้ รัฐบาลจีนกำลังจะปล่อยนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และเสริมสภาพคล่องในตลาดการเงินครั้งใหญ่ออกมา เพื่อที่จะตอบโต้การขึ้นนั่งตำแหน่งของโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะช่วยให้ตลาดหุ้นจีนมีความมั่นใจกลับเข้ามาได้
“โดยภาพรวมการขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ จะส่งผลทั้งเชิงบวกและเชิงลบต่อสินทรัพย์ต่างๆ ตลาดการลงทุนในสินทรัพย์โลกกลับมาคึกคักอีกครั้ง จึงเป็นโอกาสของนักลงทุนที่จะสามารถเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์ในกลยุทธ์ Follow Buy และได้โอกาสเข้าซื้อสินทรัพย์ที่ได้ผลกระทบเพียงระยะสั้น ด้วยกลยุทธ์ Buy On Dip” ณพวีร์ ปิดท้าย