ตลาดหุ้นไทยเวลานี้ไหลรูด นับวันใกล้จ่อ 1,300 จุดเข้าไปทุกที
ตั้งแต่ต้นปีมานี้ผมได้รับคำถามถึงตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก (หากนับเอาจริงๆ ก็ตั้งแต่ปีก่อนๆ แล้วล่ะครับ) ทั้งมุมมองในอนาคตและที่สำคัญคือการจัดการกับพอร์ตที่มีอยู่ในเวลานี้ วันนี้มีผมมีคำตอบมาให้ครับ
ผมขอเริ่มจากภาพตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา เพื่อให้เห็นแนวทางในอนาคตกันก่อนนะครับ
หากย้อนกลับไปสิ้นปี 2560 เป็นปีแรกที่ Jitta Wealth เปิดตัวนโยบาย Jitta Ranking หุ้นไทย ผมจำได้ว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเวลานั้นบวกเพิ่มขึ้น 13.7% จากปีก่อนหน้า ตลาดหุ้นไทยเวลานั้นค่อนข้างคึกคัก นักลงทุนมองตลาดไทยเป็นโอกาสที่ใกล้ตัว เข้าถึงง่าย และมีแนวโน้มเติบโตดี
ในปีนั้นเทคโนโลยี Jitta Ranking ที่พิสูจน์ผลตอบแทนย้อนหลังชนะดัชนีตลาดในหลายประเทศทั่วโลก ผมเองก็ได้ใช้ระบบในการคาดการณ์ว่าระยะเวลาสร้างผลตอบแทนที่ดีในตลาดหุ้นไทยไว้อยู่ที่ประมาณ 3-5 ปี เช่นเดียวกับ Jitta Ranking ตลาดสหรัฐฯ และเวียดนาม ที่เปิดตัวตามมาใกล้ๆ กัน
แต่หลังจากตลาดหุ้นไทยขึ้นไปทำ All Time High ที่ประมาณ 1,830 จุดในปี 2561 ก็เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบนิ่งๆ มาหลายปีครับ ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นความไม่มั่นคงทางการเมือง เศรษฐกิจที่โดนพิษ Covid-19 เข้าอย่างจัง รวมถึงแนวโน้มการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super-aged Society) เทียบเท่าญี่ปุ่นในอีกแค่ 10 ข้างหน้า
มาถึงตรงนี้คุณอาจจะบอกว่ารู้สึกหม่นหมองจัง ผมก็ต้องขอให้กำลังใจว่า อนาคตใช่จะมืดมิดขนาดนั้นครับ แสงปลายอุโมงค์ของตลาดหุ้นไทยยังมีอยู่ โดยเฉพาะกับนักลงทุน VI สายแทงสวน (Contrarian) เนื่องจากดัชนี SET ตอนนี้มีความคล้ายคลึงกับตลาดหุ้นจีนช่วงที่ผ่านมา นั่นคือ ‘ถูกมาก’
P/E ย้อนหลังของดัชนี SET ในเดือนพฤษภาคมปี 2567 ที่ผ่านมาอยู่ในระดับ 17.55 เท่า เรียกว่าต่ำสุดในค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี (19.78 เท่า) เลยครับ
ดังนั้น ถ้าถามว่าโอกาสทำกำไรในตลาดหุ้นไทยยังมีอยู่มั้ย ก็ต้องตอบว่ามีอยู่ครับ เพียงแต่กลยุทธ์การลงทุนของคุณต่อจากนี้อาจจะต้องปรับเปลี่ยน เช่น คุณอาจจะไม่ได้ลงทุนหุ้นไทยเป็น Core Port หรือพอร์ตหลักอีกต่อไป และอาจจะต้องให้เวลากับตลาดไทยยาวนานขึ้นในการสร้างผลตอบแทนที่ดี
ผมขออนุญาตนำคำแนะนำที่มีให้กับลูกค้า Jitta Wealth มาแบ่งปันเพื่อเป็นแนวทางจัดการพอร์ตหุ้นไทยตามหลักการลงทุนระยะยาว 4 แบบ สำหรับนักลงทุน 4 ประเภท เพื่อเป็นไอเดียการตัดสินในก้าวต่อไปของคุณครับ
แนวทางลงทุน: ใช้กลยุทธ์ Core & Satellite กระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์ที่ความเสี่ยงน้อยกว่า เพื่อสร้างภาพรวมพอร์ตที่อุ่นใจมากขึ้น เพราะคุณก็รู้ดีถึงหลักการที่ว่าไม่ควรเก็บไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว เว้นเสียแต่ว่าคุณจะมั่นใจมากๆ ว่าตะกร้านั้นจะไม่มีวันหก แต่คุณก็รู้อีกอยู่ดีว่า สุดท้ายแล้ว การมีแผนสำรองไว้ด้วยก็เป็นกลยุทธ์ที่ดี ทำให้เราอุ่นใจได้เสมอ จริงไหมครับ
และการกระจายความเสี่ยงแบบ Core & Satellite ก็เป็นกลยุทธ์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เพราะเป็นการกระจายเงินไปลงทุนอะไรที่ความเสี่ยงต่ำลงมาหน่อย ให้เป็น ‘พอร์ตหลัก’ หรือ Core ช่วยเสริมเสถียรภาพให้การลงทุนโดยรวมของคุณไม่ผันผวนมากเกินไป ในช่วงที่พอร์ตไทยผลงานไม่ค่อยดี ก็ยังมีตัว Core นี้พาเงินลงทุนของคุณไปต่อได้อยู่
มาทบทวนกลยุทธ์ Core & Satellite กันสักเล็กน้อยครับ กลยุทธ์นี้คือการจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) รูปแบบหนึ่งเพื่อการบริหารจัดการความเสี่ยง
ซึ่งจะแบ่งพอร์ตออกเป็น 2 ส่วน ที่ทำหน้าที่ต่างกันครับ
● พอร์ต Core (พอร์ตหลัก) ที่จะเป็นรากฐานของการลงทุน เน้นการเติบโตระยะยาว เน้นความแข็งแกร่ง ในสินทรัพย์ที่ไม่หวือหวา
● พอร์ต Satellite (พอร์ตรอง) โครงสร้างต่อเสริม เพื่อบูสต์การเติบโตในพอร์ตโดยรวม เน้นคว้าโอกาสทำกำไรที่สูงขึ้น แต่ก็เสี่ยงมากขึ้น
ตัวอย่างสัดส่วนของพอร์ตสำหรับนักลงทุนที่พร้อมจะถือหุ้นไทยต่อไป หรือมั่นใจว่าตลาดหุ้นไทยจะกลับมาคือ สัดส่วน 80:20 โดยมีสัดส่วนดังนี้
● พอร์ต Core 80% : ให้คุณเริ่มต้นลงทุนสินทรัพย์ที่มีการกระจายความเสี่ยงทั้งหุ้นหรือตราสารหนี้โลก อย่างที่ Jitta Wealth ผมก็แนะนำเป็นนโยบาย Global ETF
● พอร์ต Satellite 20% : ก็ยังคงเป็นพอร์ตหุ้นไทยที่คุณจะถือต่อไป
ด้วยกลยุทธ์และสัดส่วนดังกล่าวจะทำให้พอร์ตโดยรวมของคุณเติบโตขึ้น คุณเองก็จะสบายใจในการลงทุนมากขึ้น รอโอกาสที่หุ้นไทยจะกลับมาซึ่งอาจจะใช้เวลานานหน่อย ในขณะเดียวกันก็ยังมีอีกสินทรัพย์ที่ค่อยๆ เติบโตให้คุณอยู่ในสนามลงทุนในระยะยาวแบบสบายใจมากขึ้น
นักลงทุนแบบที่ 2 ยังอยากลงทุนหุ้นไทยใกล้ๆ ตัว แต่เริ่มไม่มั่นใจในระยะยาว
แนวทางลงทุน: เริ่มลงทุนหุ้นต่างประเทศเพื่อกระจายความเสี่ยง หรือถ้ามีพอร์ตต่างประเทศอยู่แล้วก็เพิ่มทุนในพอร์ตต่างประเทศนั้นๆ ให้น้ำหนักใกล้เคียงหรือมากกว่าพอร์ตหุ้นไทย
คุณอาจจะใช้โอกาสนี้เปิดพอร์ตหุ้นต่างประเทศ แต่หากยังมืดแปดด้าน ไม่รู้จะเลือกประเทศไหนดี ประเทศไหนมีหุ้นอะไรที่น่าสนใจ ผมก็ชวนให้มาทดลองใช้ AI ของ Jitta Wealth ทำการเลือกและปรับพอร์ตให้ ผ่านนโยบาย Jitta Ranking Alpha นโยบายใหม่ล่าสุดของ Jitta Wealth ที่จัดการลงทุนในหุ้นต่างประเทศคัด “หุ้นดีราคาถูก” ในประเทศนั้นๆ แบบอัตโนมัติ โดยที่คุณไม่ต้องเลือกประเทศด้วยตัวเอง และไม่ต้องคอยตามสถานการณ์ลงทุนในประเทศใดประเทศหนึ่งครับ
ข้อดีของ Jitta Ranking Alpha คือ ถึงคุณยังไม่รู้จะเลือกลงทุนในตลาดหุ้นไหนก็สามารถเริ่มได้เลย ให้ AI คอยวิเคราะห์ดาต้า หาแนวโน้มของตลาดหุ้นในแต่ละปี ลงทุนได้แบบไร้พรมแดนในตลาดหุ้นต่างประเภท ตัดปัญหาให้คุณว่าปีไหนหุ้นประเทศอะไรจะเป็นอย่างไร เพราะไม่ว่าอย่างไรคุณก็จะได้ลงทุนในหุ้นดีราคาถูก ไปพร้อมๆ กับการเลือกตลาดหุ้นที่ดี ในเวลาที่เหมาะสม และกันโอกาสสร้างผลตอบแทนระยะยาวที่มากขึ้นครับ
แบบนี้พอร์ตหุ้นไทยของคุณก็จะยังอยู่ และเพิ่มสัดส่วนเงินลงทุนในต่างประเทศให้มากขึ้นแทน พอร์ตลงทุนโดยรวมของคุณก็จะไม่ได้รับแรงกระแทกมากเกินไปจากความผันผวนของตลาดหุ้นไทย และยังมีสัดส่วนของหุ้นต่างประเทศที่จะสร้างสมดุลให้พอร์ตเติบโตต่อไปได้
แต่ก็ยังไม่รู้จะเอาเงินไปลงทุนอะไรแทน ไม่อยากเก็บเงินสดไว้เฉยๆ จนเสียโอกาส
แนวทางลงทุน: ย้ายเงินไปลงทุน ETF เพื่อทดลองลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศที่ความเสี่ยงไม่สูงมาก ถ้าคุณรู้สึกว่าการรอคอยหุ้นไทยฟื้นมันยาวนานเกินจะทนไหว อยากปรับพอร์ตไทยไปลงทุนอย่างอื่นเพื่อไม่ให้เสียโอกาส อยากลองลงทุนต่างประเทศ แต่ก็ไม่อยากเสี่ยงสูงมาก
คุณสามารถชิมลางลงทุนต่างประเทศ ใน ETF ที่ผันผวนน้อยกว่าหุ้นรายตัวได้ ผ่าน ETF ซึ่งผมก็ได้แนะนำลูกค้าให้ลงทุนในนโยบาย Global ETF ที่มีการกระจายการลงทุนใน ETF ตราสารหนี้และ ETF หุ้นทั่วโลกก็เป็นทางเลือกที่ดีให้คุณได้ออกไปทดลองตลาด
แนวทางลงทุน: เริ่มลงทุนต่างประเทศอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นหุ้นทั่วโลก ตราสารหนี้หรือ ETF แต่ผมยังแนะนำให้คุณใช้หลักการกระจายความเสี่ยงนะครับ ลงทุนใน ETF และหุ้น ผลตอบแทน 4-8% หรือถ้ารับความเสี่ยงได้มากกว่านั้น สามารถย้ายไป Thematic หรือ Jitta Ranking ประเทศอื่นๆ ได้เลย
วิธีที่ 4 นี้เหมาะกับคนที่มั่นใจแล้วว่าไม่อยากลงทุนหุ้นไทยแล้ว แต่รับความเสี่ยงได้สูงกว่า ลงทุนหุ้นต่างประเทศเน้นๆ ไปได้เลย
สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่เคยลงทุนต่างประเทศมาก่อน เราแนะนำทดลองเปิดพอร์ต Global ETF พอร์ตการลงทุนต่างประเทศครอบจักรวาลที่เป็นพอร์ตลูกรักของนักลงทุน Jitta Wealth จำนวนมากครับ เพราะความผันผวนที่ไม่สูงมาก และได้ผลตอบแทนค่อนข้างดี คุณสามารถเลือกผลตอบแทนและระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับตัวเองได้ เป็นจุดเริ่มต้นของการลงทุนต่างประเทศที่เหมาะเป็น Core Port มากๆ ครับ
เป็นอย่างไรบ้างครับกับ 4 แนวทางจัดการพอร์ตที่ผมนำเสนอในวันนี้ ผมพยายามวิเคราะห์มาเพื่อจัดการพอร์ตให้ตรงตามเป้าหมายของนักลงทุนทุกคนอย่างครบถ้วนที่สุด ตรงกับเงื่อนไขที่แตกต่างกัน แต่เพื่อปั้นพอร์ตระยะยาวด้วยกัน เพื่อก้าวต่อไปอย่างถูกต้อง ทีนี้ก็ขึ้นกับแต่ละท่านจะเลือกเลยครับว่าจะเป็นนักลงทุนกลุ่มไหน และจะใช้แนวทางการจัดการพอร์ตหุ้นไทยให้เหมาะสมกับตัวเองต่อไปอย่างไร?
ทั้งหมดนี้ไม่มีถูกไม่มีผิดครับ มีเพียงกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับคุณที่สุด เพื่อให้คุณสามารถลงทุนต่อไปได้อย่างสบายใจ และได้ผลตอบแทนที่ดีอย่างที่คาดหวังเท่านั้น
การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนเป็นเรื่องปกติ ที่แม้แต่นักลงทุนระดับเทพๆ ก็ทำครับ เพียงแต่ว่านักลงทุนที่เก่งๆ จะรู้ตัวเองดีครับว่าตนเองเป็นนักลงทุนแบบไหน มีความมั่นใจและไม่มั่นใจกับอะไร พวกเขาสร้างผลตอบแทนที่ดีได้จากการเลือกแนวทางที่ถูกจริต และทำได้อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องในระยะยาว
จากข้อมูลที่เรานำมาแบ่งปันกันวันนี้ คิดว่าน่าจะช่วยให้เห็นภาพชัดขึ้นแล้วว่า แนวทางการจัดการพอร์ตหุ้นไทยยังมีให้เลือกหลายแบบ ขึ้นอยู่กับคุณเองจะเลือกว่าจะเป็นนักลงทุนแบบไหน และควรเดินทางต่อไปกับหุ้นไทยอย่างไรให้ตนเองสบายใจ พร้อมรับผลตอบแทนที่ดี
หากคุณเชื่อมั่นในหลักการลงทุนระยะยาวเช่นเดียวกับผม หรือกำลังก้าวเข้าสู่ถนนสายนี้ สิ่งหนึ่งที่คุณต้องยอมรับคือเส้นทางนี้ยังอีกยาวไกล ไม่ได้สิ้นสุดในวันนี้พรุ่งนี้ เดือนนี้หรือเดือนหน้าจริงไหมครับ เส้นทางที่ยาวไกล มักมีอุปสรรคเข้ามาให้เราได้เรียนรู้และนำมาปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับเรามากขึ้นเสมอครับ
ผมหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณๆ ที่ถือหุ้นไทยอยู่ และเชื่อในการลงทุนระยะยาวจะได้เห็นปลายอุโมงก์ที่ยังมีแสงสว่างรออยู่ ให้คุณสามารถทำตามได้จริง และสบายใจมากยิ่งขึ้นครับ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. จิตตะ เวลธ์ จำกัด