เพิ่งผ่านไปสำหรับ Bitcoin Halving ครั้งที่ 4 หนึ่งจุดเปลี่ยนที่สำคัญสำหรับวงการคริปโตเคอเรนซี่ที่เกิดขึ้นทุกๆ 4 ปี ทำให้มูลค่าของการขุดบิตคอยน์ลดลงครึ่งหนึ่ง เพื่อเป็นการควบคุมให้บิตคอยน์มีจำนวนจำกัด
โดยการ Halving ในรอบนี้ จะลดมูลค่ารางวัลการขุดจาก 6.25 เหรียญ เหลือเพียง 3.125 เหรียญ ซึ่งทุกครั้งที่มีการ Halving ของบิตคอยน์ สิ่งที่มักจะตามมาหลังจากการ Halving คือราคาที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่งหลังจากการ Halving
ถึงแม้นักวิเคราะห์และซีอีโอหลายรายมองว่า มูลค่าของบิตคอยน์จะพุ่งสูงเหมือนเดิม เหมือนกับการ Halving ในทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา แต่สาวกคริปโตส่วนใหญ่ก็ยังไม่แน่ใจว่าการ Halving ครั้งที่ 4 จะเป็นไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ เพราะมีบางสิ่งที่แตกต่างเกิดขึ้นแล้วสำหรับการ Halving ในครั้งที่ 4 ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 5 ข้อดังนี้:
หนึ่งในความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่าง Bitcoin Halving ครั้งนี้ และสามครั้งที่ผ่านมาคือ ราคาที่เพิ่มขึ้นแบบคาดไม่ถึง แตะระดับ all-time high ก่อนการ Halving ซึ่งโดยปกติแล้ว ราคาบิตคอยน์จะทะลุทำสถิติ all-time high ประมาณหนึ่งปีหลังจากวันที่มีการ Halving
หากไปดูข้อมูลจาก Techopedia จะพบว่า มูลค่าของบิตคอยน์ก่อนและหลัง Halving ในหนึ่งปี มีความแตกต่างสิ้นเชิง ยกตัวอย่างการ Halving ในปี 2016 พบว่ามูลค่าของบิตคอยน์ก่อน Halving หนึ่งปีอยู่ 270 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่หลังจาก Halving 1 ปี มูลค่าแตะ 2,506 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นสูงถึง 828.15% เลยทีเดียว
ส่วนการ Halving ของปี 2024 ราคาบิตคอยน์ขึ้นถึงระดับ all-time high ก่อนการ Halving ไปแล้ว โดยสร้างสถิติที่ 73,600 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในวันที่ 13 มีนาคม ที่ผ่านมา ซึ่งนักวิเคราะห์หลายคนคาดไม่ถึงว่า เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้น และทำให้เริ่มมีการวิเคราะห์ว่า หลังจากการ Halving ในครั้งนี้ มูลค่าจะดิ่งลงอย่างเห็นได้ชัด
เช่น นักวิเคราะห์ของ JPMorgan มองว่า ราคาปัจจุบันของบิตคอยน์ยังสูงกว่าราคาที่ปรับตามความผันผวนเทียบกับทองคำของ JPMorgan ที่มูลค่า 45,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และสูงกว่าต้นทุนการผลิตที่คาดการณ์ไว้หลัง Halving ที่ 42,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ไม่เพียงเท่านี้ จากการวิเคราะห์ของสถานะคงค้างใน Bitcoin futures บิตคอยน์ยังคงอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไปด้วย
นับตั้งแต่การ Halving ครั้งที่ 3 ในเดือนพฤษภาคม ปี 2020 ฐานผู้ใช้งานคริปโตทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 400 ล้านคน ตามการประมาณการของ Cambridge Centre for Alternative Finance โดยภายในสิ้นปีที่ผ่านมา Crypto.com รายงานว่าจำนวนผู้ใช้งานคริปโตทั่วโลกแตะ 580 ล้านคนเป็นที่เรียบร้อย แสดงถึงความต้องการของบิตคอยน์ที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลา ในขณะที่มูลค่าของการขุดรางวัลจะลดลงก็ตาม
ถึงแม้บิตคอยน์จะเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในโลกตามมูลค่าตลาด แต่จำนวนผู้ใช้งานบิตคอยน์ก็ยังถือว่าน้อยกว่าระบบนิเวศของสกุลเงินดิจิทัลทั้งหมด ตามข้อมูลของ Technopedia ประมาณ 2.7% หรือประชากรโลกประมาณ 219 ล้านคนเป็นเจ้าของเหรียญบิตคอยน์ แต่จำนวนก็เพิ่มขึ้นสูงถึง 208% จากผู้ใช้งานเพียง 71 ล้านคนจากการ Halving ในรอบปี 2020 เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การประมาณจำนวนผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่สามารถมีความแม่นยำได้ 100% เนื่องจากการวิเคราะห์ธุรกรรมออนไลน์มักจะไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างผู้ถือครองระยะยาวและเหรียญบิตคอยน์ที่สูญเสียไป รวมถึงปัจจัยอื่นๆ เช่นกัน
ในแง่ของความปลอดภัยของเครือข่ายและการกระจายอำนาจมีการปรับปรุงอย่างมีนัยสำคัญ เทียบจากในปี 2020 ที่การขุดบิตคอยน์ส่วนใหญ่อยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่ คิดเป็นเกือบ 80% ของอัตราแฮชของการขุดทั่วโลก
ส่วนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา Jaran Mellerud ผู้ก่อตั้ง Hashlab Mining กล่าวว่า ประเทศที่ขุดบิตคอยน์มากที่สุดคือ สหรัฐอเมริกา ซึ่งมี 40% ของกำลังขุดทั้งหมด ส่วนจีนและรัสเซียอยู่ที่ 15% และ 12% ตามลำดับ ซึ่งการกระจายอำนาจทางภูมิศาสตร์นี้ยังคงดำเนินต่อไป ในขณะที่นักขุดอพยพไปยังแอฟริกาและละตินอเมริกาเพื่อใช้ประโยชน์จากราคาไฟฟ้าที่ถูกกว่า
นอกจากนี้ บิตคอยน์บล็อกเชนยังต้านทานการโจมตีได้มากขึ้น เนื่องจากอัตราแฮชของมันเพิ่มขึ้นห้าเท่านับตั้งแต่การ Havling ในปี 2020 ทำให้ตอนนี้ต้องใช้พลังการประมวลผลและกระแสไฟฟ้าที่เกี่ยวข้อง โครงสร้างพื้นฐานทางไฟฟ้า และฮาร์ดแวร์การขุดเพิ่มขึ้นถึงห้าเท่าเพื่อโจมตีเครือข่าย
หนึ่งสิ่งที่แตกต่างและเห็นได้ชัดของการ Halving ในปี 2024 ก็คือการเปิดกองทุน Spot Bitcoin ETFs หรือกองทุนการซื้อขายสาธารณะที่ช่วยให้นักลงทุนที่สนใจในบิตคอยน์ สามารถมาลงทุนในบิตคอยน์ได้โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของจริงๆ
หลังจากความพยายามเป็นเวลาหลายปี Spot Bitcoin ETF ได้เปิดตัวการซื้อขายครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาในเดือนมกราคม โดยเปิดให้นักลงทุนสถาบันได้สัมผัสการลงทุนในบิตคอยน์ได้ ซึ่ง Eric Balchunas นักวิเคราะห์ของ Bloomberg ETF ระบุว่า Spot Bitcoin ETF แสดงความสำเร็จระดับมหาศาล สะท้อนถึงความต้องการบิตคอยน์ที่พุ่งสูงขึ้น
นับตั้งแต่วันแรกของการซื้อขาย Spot Bitcoin ETF ทั้ง top 10 ได้เพิ่มการถือครองอย่างน้อย 220,000 เหรียญ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดย Spot Bitcoin ETF ของ BlackRock ดึงดูดปริมาณการไหลเข้าที่ใหญ่ที่สุดในบรรดา top 10 กองทุน จากการถือครองเพิ่มขึ้นมากกว่า 10,000% จากจำนวนเหรียญเพียง 2,621 เหรียญในวันเปิดตัวการซื้อขายสู่ 273,140 เหรียญเมื่อวันที่ 18 เมษายน
สำหรับ Spot Bitcoin ETFs ข้อมูลจาก Bloomberg ณ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2024 เผยว่า สหรัฐอเมริกามีส่วนแบ่งในตลาดมากถึง 83% ด้วยมูลค่าเกือบ 3.48 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รองลงมาคือกลุ่มประเทศในยุโรป - เยอรมนี เจอร์ซีย์ เกิร์นซีย์ สวิตเซอร์แลนด์ และลิกเตนสไตน์ - มูลค่า 3.67 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยส่วนแบ่ง 8.8% และแคนาดาที่มีส่วนแบ่ง 7.4% หรือมูลค่า 3.09 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
การแข็งค่าของราคาบิตคอยน์ที่เกิดขึ้นก่อนการ Halving อาจส่งผลกระทบเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมการขุด เนื่องจากนักขุดสามารถควบคุมต้นทุนการขุดได้มากขึ้น และมูลค่าของบิตคอยน์ที่พุ่งสูงมากในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา มากถึง 140% เลยทีเดียว
โดย Chris Kuiper ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ Fidelity Digital Assets กล่าวว่า เมื่อเปรียบเทียบกับ Halving ครั้งก่อน ดูเหมือนว่านักขุดจะอยู่ในจุดที่ดีขึ้นโดยรวมในแง่ของระดับหนี้ที่ลดลง และอาจควบคุมต้นทุนอย่างไฟฟ้าได้ดีขึ้น
นับตั้งแต่การ Halving ครั้งที่ 3 การใช้พลังงานในการขุดบิตคอยน์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเพิ่มขึ้นจากประมาณ 50 เทราวัตต์ชั่วโมง เป็น 99 เทราวัตต์ชั่วโมงในวันที่ 18 เมษายน 2024 ส่วนปริมาณการใช้พลังงานหมุนเวียนของเครือข่ายบิตคอยน์ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยคิดเป็น 54.5% ของการใช้การขุดในเดือนมกราคมที่ผ่านมา
นอกจากนี้ Haris Basit หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ของ Bitdeer Technologies กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของราคาบิตคอยน์เมื่อเร็วๆ นี้ สามารถกำจัดนักขุดที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่าของเครือข่ายจำนวนมากได้ในระยะอันสั้นด้วย
ที่มา Cointelegraph, Coingecko, The Block, Market Insider