ผลประกอบการไตรมาสแรกของปีนี้ออกมาแล้ว ทั้ง 8 บริษัทมีกำไรเป็นอย่างไร สะท้อนอะไรบ้าง? ทิศทางต่อจากนี้ของทั้งกลุ่มเป็นอย่างไร ยังน่าลงทุนอยู่หรือไม่ บริษัทไหนน่าลงทุนต่อ บริษัทไหนควรพอแค่นี้ นักวิเคราะห์มองทั้ง 8 บริษัทเป็นอย่างไร บทความนี้ SPOTLIGHT จะมาพามาดูกัน
โดยสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA Consensus) จาก 14 บริษัทหลักทรัพย์ เห็นว่า บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ยังเป็นหุ้นที่น่าลงทุน แนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายในปีนี้ที่ 37.71 บาทต่อหุ้น
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) มองว่า แนวโน้มกำไรปกติของ PTT ในไตรมาส 2/2567 จะลดลงทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อน และเทียบไตรมาสก่อนหน้า จากค่าการกลั่นที่ลดลง ส่วนต่างของปิโตรเคมีลดลง กำไรจากธุรกิจก๊าซฯ ลดลง จากผลบังคับใช้ของการปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ (Single Pool Gas) แนะนำ “ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวลง” เพราะมองว่า PTT ยังมีประเด็นกดดันราคาหุ้นจากความไม่ชัดเจนเรื่อง Single Pool Gas ว่าจะมีผลกระทบต่อกำไรมากน้อยเพียงใด แต่ก็ยังคาดว่า PTT จะจ่ายปันผลทั้งปี 2.00 บาทต่อหุ้น ได้ตามเดิม
โดยสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA Consensus) จาก 22 บริษัทหลักทรัพย์ เห็นว่า บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ยังเป็นหุ้นที่น่าลงทุน แนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายในปีนี้ที่ 183.45 บาทต่อหุ้น
บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรี คาดการณ์กำไรในไตรมาส 2/2567 ว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า ตามปริมาณยอดขายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาสแรกของปีนี้ เนื่องจากการเร่งผลิตที่โครงการ G1/61 หรือเอราวัณ และการถือหุ้นในโครงการ Yanada เพิ่มขึ้น
โดยสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA Consensus) จาก 17 บริษัทหลักทรัพย์ เห็นว่า บริษัท ปตท.พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ยังเป็นหุ้นที่น่าลงทุน แนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายในปีนี้ที่ 40.41 บาทต่อหุ้น
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี มีมุมมองต่อหุ้น PTTGC ในเชิง Negative จากความเสี่ยงของกำไรในปีนี้ ที่จะเกิดจากการปรับปรุงมูลค่าสินทรัพย์ของบริษัท และทำให้เกิดค่าใช้จ่ายด้อยค่าฯ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาลดสินทรัพย์ที่ไม่สร้างการเติบโต เพราะจากการประชุมผู้บริหารพบนักวิเคราะห์นั้น ผู้บริหารตั้งเป้าจะปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยจำหน่ายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ Core Business หรือไม่สร้างการเติบโต เพื่อนำที่ได้ หรือเงินที่ประหยัดได้ ไปต่อยอดเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ หรือธุรกิจที่มีมูลค่าสูง และสามารถสร้างการเติบโต และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในอนาคต
ทำให้นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า จะมีสินทรัพย์ที่อยู่ระหว่างการพิจารณารวมราว 1.8-2.0 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะกดดันกำไรในไตรมาส 2-3 ปีนี้ จึงแนะนำ Trading Buy ซึ่งราคาเป้าหมายอยู่ที่ 39.50 บาทต่อหุ้น โดยแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนไปก่อน เพื่อรอดูความชัดเจนของผลกระทบจากการด้อยค่าสินทรัพย์
โดยสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA Consensus) จาก 22 บริษัทหลักทรัพย์ เห็นว่า บริษัท ไทยออยส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ที่ยังแนะนำให้ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 65.62 บาทต่อหุ้น
บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองต่อหุ้น TOP ว่า กำไรในไตรมาสแรกปีนี้ของ TOP ถือว่ามากกว่าที่อุตสาหกรรมคาดไว้ โดยปัจจัยสำคัญมาจากค่าการกลั่น และ อะโรเมติก ที่ปรับตัวดีขึ้น จากการปิดซ่อมฉุกเฉินที่สหรัฐฯ ทำให้ค่า GIM ปรับตัวดีขึ้นถึง 25% จากช่วงกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นถึง 194% จากไตรมาสก่อนหน้า
สำหรับแนวโน้มกำไรในไตรมาส 2 ปีนี้ และทั้งปี 2567 นั้น บล.พาย คาดการณ์กำไรปีนี้ไว้ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากปีนี้เกิดการสมดุลในอุตสาหกรรมโรงกลั่น และคาดว่ากลับมาสู่ขาขึ้นของอุตสาหกรรมในปี 2568 จึงได้แนะนำ “ซื้อ”
โดยสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA Consensus) จาก 17 บริษัทหลักทรัพย์ เห็นว่า บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ที่ยังแนะนำให้ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 58.44 บาทต่อหุ้น
ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองต่อหุ้น GPSC ไว้ว่า ในไตรมาส 2/2567 จะปรับตัวเพิ่มขึ้น จากอัตรากำไรของธุรกิจ SPP ฟื้นตัว หลังต้นทุนเชื้อเพลิงมีแนวโน้มลดลง ตามราคาพลังงานในตลาดโลก สัดส่วนการนำเข้า LNG ลดลง ท่ามกลางราคาขายไฟฟ้าประคองตัว
โดยช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ ผลการดำเนินงานจะฟื้นตัวจากปีก่อน จากปัจจัยเรื่องของ Margin ของ SPP ทยอยกลับเข้าสู่ภาวะปกติ มีการรับรู้กำลังผลิตไฟฟ้าใหม่จากโครงการ Glow SPP2 Replement, IRPC-CP 3, CFXD, Avaada รวมถึงประสิทธิภาพการผลิตสูงขึ้น การได้รับประโยชน์จากมาตรการ Single Pool ตั้งแต่กลางปีเป็นต้นไป และได้รับเงินเคลมประกันภัยของ Glow Phase5 คาดการณ์กำไรปีนี้ ไว้ที่ 5,349 ล้านบาท มีรายได้ 87,836 ล้านบาท จึงแนะนำ “ซื้อ”
โดยสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA Consensus) จาก 15 บริษัทหลักทรัพย์ เห็นว่า บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ที่ยังแนะนำให้ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 21.50 บาทต่อหุ้น
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) มองหุ้น OR เป็น Neutral เพราะจากการประชุมนักวิเคราะห์กับผู้บริหารที่ไม่ได้มีการปรับเป้าหมายธุรกิจในปีนี้ โดยคงปริมาณขายน้ำมันไว้ที่ระดับ 3-4% สูงกว่าประมาณการของบล.กรุงศรี ที่คาดไว้ -2% จากปีก่อน ซึ่งยังไม่ให้น้ำหนัก โดยขอรอดูการฟื้นตะวของปริมาณขายน้ำม้นในไตรมาส 2/2567 ก่อน หากสามารถขายน้ำมันได้ในปริมาณตามเป้าที่ OR ตั้งไว้ ประมาณการกำไรปกติมีโอกาสเพิ่มขึ้นได้ถึง 8-10%
สำหรับแนวโน้มไตรมาส 2/2567 บล.กรุงศรี คาดกำไรจะทรงตัวจากปีก่อน ซึ่งได้จากธุรกิจ Lifestyle ที่การท่องเทื่ยวเติบโต หนุนกำไรมาชดเชยกับกำไรของทาง Mobility ที่ปริมาณขายน้ำมันลดลง จากการแข่งขันที่สูงขึ้น ส่วนกำไรที่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านั้น สาเหตุมาจากธุรกิจ Mobility ที่คาดว่า GM ลดลงราว 0.9 บาทต่อลิตร จากการตรึงราคาน้ำมันในช่วงเทศกาลหยุดยาว และราคาน้ำม้นที่มีความผันผวน ทำให้การบริหารจัดการต้นทุนทำได้น้อยลง จึงแนะนำ Trading Buy ซึ่งมองว่า สามารถซื้อเก็งกำไรได้ โดยคาดว่าปีนี้ OR มีรายได้รวม 749,566 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 11,852 ล้านบาท
โดยสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA Consensus) จาก 3 บริษัทหลักทรัพย์ เห็นว่า บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC แนะนำให้ “ขาย” ด้วยราคาเป้าหมายปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 7.90 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้ GGC ผลประกอบการในไตรมาสแรกของปีนี้ รายได้จากการขายรวมทั้งหมดอยู่ที่ 4,518 ล้านบาท ลดลง 3% และขาดทุนสุทธิ 54 ล้านบาท ลดลงถึง 235% โดยหลักมาจากการขาดทุนจากธุรกิจเอทานอล ที่ได้รับผลกระทบจากราคาอ้อยที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต
โดยสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA Consensus) จาก 15 บริษัทหลักทรัพย์ เห็นว่า บริษัท ไออาร์ซีพี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC แนะนำให้ “ถือ” ด้วยราคาเป้าหมายปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 2.09 บาทต่อหุ้น
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) มองหุ้น IRPC เป็น Neutral ผลจากที่ประชุมนักวิเคราะห์กับผู้บริหาร จากแผนกลยุทธ์ของบริษัททั้งในส่วนของโรงกลั่น และปิโตรเคมี มีความชัดเจนมากขึ้น และไม่เปลี่ยน direction ที่จะไปผลิตภัณฑ์ที่มูลค่าสูง ผ่านโครงการ UCF และปิโตรเคมี PP/PR/ABS แนะนำ Trading Buy ต่อ IRPC โดยให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 2.20 บาทต่อหุ้น คงมุมมองให้เป็นตัวเลือกเก็งกำไร
ดังนั้น นักลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม ปตท.คงต้องเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มดี สามารถทำกำไรได้ในอนาคต และโปรดใช้วิจารณญาณการลงทุน