นายฉี ชิง-ฟู่ กรรมการผู้จัดการ LHFG และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LH Bank กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรก 2567 ว่า มีการขยายตัวเล็กน้อยจากการบริโภคภายในประเทศ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูง ยังเป็นแรงกดดันให้การจับจ่ายใช้สอยไม่สูงมากนัก
แต่เชื่อว่าภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวแข็งแกร่ง แต่การลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนชะลอตัวลงตามการอนุมัติงบประมาณภาครัฐที่ล่าช้าและการส่งออกที่ฟื้นตัวคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้นจากการใช้จ่ายภาครัฐ การลงทุนภายในประเทศ และการลงทุนจากต่างประเทศที่ขยายตัว และคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตประมาณ 2.4%
ขณะที่เศรษฐกิจโลกคาดว่าจะเติบโตประมาณ 3.2% จากการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินว่า เศรษฐกิจสหรัฐ เติบโตได้ดี และประเทศเกิดใหม่ เช่น สิงคโปร์ ไตัหวัน เกาหลี อาเซียน อินเดีย เวียดนาม ส่วนเศรษฐกิจที่ชะลอตัว เช่น จีน ญี่ปุ่น ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า และการเลือกตั้งในต่างประเทศ ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐฯ
LHFG ยังคงให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (Sustainable Banking) มุ่งเน้นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สนับสนุนสินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อม และสินเชื่อสำหรับธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับการคัดเลือกเป็นบริษัท ESG100 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล
ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2567 LHFG มีกำไรสุทธิ 891 ล้านบาท ลดลง 25.9% และกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและภาษีเงินได้ 1,990 ล้านบาท ลดลง 19.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากเงินปันผลที่ลดลงเนื่องจากการปรับลดพอร์ตการลงทุน
ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เปิดเผยผลประกอบการครึ่งปีแรก 2567 มีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากการขยายฐานสินเชื่อทั้งกลุ่มลูกค้ารายย่อยและลูกค้าธุรกิจผ่านช่องทางดิจิทัลและความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ธนาคารมีกำไรสุทธิ 846 ล้านบาท สินเชื่อเติบโต 8.7% โดยสินเชื่อกลุ่มลูกค้าไต้หวันเติบโตโดดเด่นที่ 31% ผ่านเครือข่าย CTBC Bank และ Trade Finance เติบโต 19% ธนาคารยังคงรักษาระดับ NPL ที่ 3% และมี NPL Coverage ที่ 188% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
สำหรับฐานลูกค้าเงินฝากรายย่อยของธนาคารเพิ่มขึ้น 22% จากผลิตภัณฑ์และแคมเปญที่หลากหลาย อาทิ เงินฝากบัญชีออมทรัพย์ดิจิทัล B-You Wealth, แคมเปญเงินฝากออมทรัพย์ดิจิทัลรับบัตรแรบบิท LH Bank Success Infinite Prestige Collection, เงินฝากเงินตราต่างประเทศ (FCD), LH Bank Health Care Saving และบัญชีออมทรัพย์เพื่อธุรกิจอัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได
สำหรับเป้าหมายสินเชื่อปีนี้ไว้ที่ระดับ 8-10% ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังจะเน้นขยายสินเชื่อกลุ่ม SMEs โดยเฉพาะกลุ่มโลจิสติกส์ เทคโนโลยี และลูกค้าไต้หวัน อิเล็กทรอนิกส์ และยังเน้นการขยายตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัย พร้อมพัฒนาประสิทธิภาพระบบ Corporate E-Banking และ Mobile Banking ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
ล่าสุดได้ร่วมมือกับพันธมิตรสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (EEI), อุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ สถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ (MASCI) และ ABEAM เพื่อดำเนินโครงการ Green Transition Advisory Loan ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ไทยในการปรับตัวสู่ธุรกิจที่ยั่งยืน
นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (LH Fund) เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 บริษัทได้ดำเนินการปรับกลยุทธ์การบริหารกองทุน โดยให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและการปรับเปลี่ยนกองทุนหลัก (Master Fund) เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดและเพิ่มศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจยิ่งขึ้น นอกจากนี้ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ภายใต้การบริหารของ LH Fund ยังคงแสดงผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทุนประเภทโรงแรมและพื้นที่ค้าปลีก เช่น LHHOTEL, LHSC และ QHHRREIT ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
สำหรับทิศทางธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 LH Fund มีแผนที่จะขยายฐานลูกค้ากองทุนส่วนบุคคลและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ รวมถึงการแปลงสภาพกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ภายใต้การจัดการ โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้กับผู้ลงทุน นอกจากนี้ บริษัทยังได้พัฒนาระบบ Life Path เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โดยระบบดังกล่าวจะช่วยให้สมาชิกสามารถปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนได้อย่างสะดวกและเป็นไปโดยอัตโนมัติ
นายกานต์ อรรถธรรมสุนทร กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH Securities เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 ปรับตัวลดลง 8.1% มาอยู่ที่ 1,300.96 จุด โดยนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิต่อเนื่องเป็นจำนวน 115,983 ล้านบาท และมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดลง 22.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย ได้แก่ สถานการณ์ทางการเมืองทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่จะคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงต่อไป
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 LH Securities มีรายได้รวม 158.8 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ลดลงตามปริมาณการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ปรับตัวลดลง 22.5% อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนที่จะเปิดให้บริการธุรกิจที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial Advisor: FA) ในไตรมาสที่ 3 เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความหลากหลายในการให้บริการแก่ลูกค้า พร้อมทั้งพัฒนาบริการด้านเทคโนโลยีผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้าและบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางภาวะตลาดหุ้นที่มีความผันผวนและปริมาณการซื้อขายที่ลดลง
แม้ภาพรวมผลประกอบการของ LHFG และบริษัทในเครือจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจ แต่บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาธุรกิจและบริการให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัล การขยายฐานลูกค้า และการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นและลูกค้าในระยะยาว