วายแอลจีประกาศปรับเพิ่มเป้าหมายราคาทองคำในปีนี้เป็น 2,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากเฟดลดอัตราดอกเบี้ยตามที่คาดการณ์ไว้ แม้ว่าราคาทองคำอาจผันผวนในระยะสั้น แต่ YLG ยังคงมองแนวโน้มในระยะยาวเป็นบวก โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ การกลับมาซื้อทองคำของกองทุน ETF และการสะสมทองคำของธนาคารกลางทั่วโลก สำหรับราคาทองคำในประเทศ YLG คาดว่ามีโอกาสปรับตัวขึ้น หากค่าเงินบาทไม่แข็งค่าเกิน 33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
วายแอลจีปรับเป้าหมายทองคำปีนี้ขึ้นแตะ 2,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หลังเฟดลดดอกเบี้ย 0.50% ตามคาด พร้อมส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยได้อีก 0.50% ในช่วงที่เหลือของปี แม้ระยะสั้นราคาทองคำอาจผันผวนจากแรงขายทำกำไรหลังทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง แต่วายแอลจียังคงมองบวกต่อแนวโน้มราคาทองคำในปีนี้ ด้วยปัจจัยหนุนแข็งแกร่ง 3 ด้าน ได้แก่ 1) ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังยืดเยื้อ 2) กองทุน ETF ทั่วโลกกลับมาซื้อทองคำสุทธิต่อเนื่อง 4 เดือนติดต่อกัน (พ.ค. - ส.ค.) และ 3) ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงเดินหน้าสะสมทองคำเข้าพอร์ต
สำหรับราคาทองคำในประเทศ วายแอลจีประเมินว่ามีโอกาสปรับขึ้นไปทดสอบกรอบ 42,600-43,000 บาทต่อบาททองคำ หากเงินบาทไม่แข็งค่าเกิน 33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ นักลงทุนที่สนใจทองคำสามารถลงทุนผ่าน YLG Gold Wallet บนแอปเป๋าตัง ซึ่งเปิดโอกาสให้ลงทุนในรูปของดอลลาร์แบบเรียลไทม์ด้วยราคาทองคำตลาดโลก ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน
YLG มองทองคำทะยานต่อ! ปรับเป้าหมายปีนี้แตะ 2,700 ดอลลาร์ หลังเฟดลดดอกเบี้ย
แม้ราคาทองคำจะเผชิญแรงขายทำกำไรในระยะสั้น หลังจากปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทันทีที่ประธานเฟด เจอโรม พาวเวล ส่งสัญญาณเชิงบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐ และพยายามลดความกังวลจากการลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% โดยย้ำว่าเป็นเพียงมาตรการรักษาเสถียรภาพของตลาดแรงงาน ไม่ใช่สัญญาณเตือนภาวะเศรษฐกิจถดถอย
อย่างไรก็ตาม นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) มองว่า ทองคำยังคงมีศักยภาพในการปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ภายในปีนี้ โดยปรับเพิ่มประมาณการราคาเป้าหมายเป็น 2,650-2,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ด้วยแรงหนุนสำคัญจากวงจรดอกเบี้ยขาลงของเฟด ที่คาดว่าจะดำเนินต่อไปอีก 2 ปี ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกหลักต่อราคาทองคำในระยะยาว
แม้เฟดจะส่งสัญญาณผ่าน Dot Plot ว่าอาจลดอัตราดอกเบี้ยได้อีก 0.50% ในปีนี้ รวมเป็น 1.00% แต่นักลงทุนบางส่วนยังคงมีความกังวล จึงเทขายทองคำออกมาบ้างหลังราคาปรับตัวขึ้นไปสูงมาก อย่างไรก็ตาม YLG เชื่อมั่นว่าการเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงของเฟด จะเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญให้ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อไปได้อีก
ทองคำยังมีแรงหนุน แม้บาทแข็งค่า
นอกจากนี้ ราคาทองคำยังได้รับแรงหนุนจากปัจจัยบวกอื่นๆ ที่แข็งแกร่ง ทั้งความกังวลด้านภูมิรัฐศาสตร์ในหลายพื้นที่ และการที่กองทุน ETF ทองคำกลับมาซื้อทองคำต่อเนื่องเป็นเวลา 4 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงเดินหน้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องในระยะยาว โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ได้เข้าซื้อทองคำรวม 483.3 ตัน ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ครึ่งปีแรก
สำหรับราคาทองคำในประเทศ แม้ว่าจะได้รับแรงกดดันจากค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งทุกครั้งที่ค่าเงินบาทแข็งค่า 10 สตางค์ จะทำให้ราคาทองคำปรับลดลงมาราว 90-120 บาทต่อบาททองคำ อย่างไรก็ตาม หากค่าเงินบาทไม่แข็งค่าเกิน 33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ก็ยังมีโอกาสที่ราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นไปถึง 41,800 บาทต่อบาททองคำ และอาจไปถึงเป้าหมายถัดไปที่โซน 42,600-43,000 บาทต่อบาททองคำ
อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนที่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนมากนัก วายแอลจีขอแนะนำให้ลงทุนผ่าน YLG Gold Wallet บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งเปิดโอกาสให้ซื้อทองคำในราคาตลาดโลกแบบเรียลไทม์ด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐได้โดยตรงบนแอปฯ โดยสามารถซื้อขายได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ด้วยราคาเรียลไทม์ ซื้อ-ขายทองคำต่อครั้งขั้นต่ำ 0.1 ออนซ์ และสูงสุดถึง 700 ออนซ์ หรือ 20 กิโลกรัม นอกจากนี้ ยังมีทางเลือกในการซื้อ-ขายทองคำความบริสุทธิ์ 99.99% ด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และเลือกรับทองคำจริงได้ทั้งแบบเหรียญทองคำและทองแท่ง ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุนทองคำในช่วงที่เงินบาทแข็งค่าเช่นนี้