ในโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวนทางเศรษฐกิจและการเมือง ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่เปล่งประกาย ดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก ด้วยคุณสมบัติอันเป็นเอกลักษณ์ในฐานะแหล่งเก็บรักษามูลค่าและเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง
บทความนี้ SPOTLIGHT จะนำท่านไปสำรวจแนวโน้มราคาทองคำในปี 2568 พร้อมเจาะลึกปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ ผ่านมุมมองเชิงลึกจาก YLG ผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจทองคำ เพื่อไขกุญแจแห่งโอกาสในการลงทุน และเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคต
ทองคำปี 2568 ไปต่อ! YLG ชี้เป้า 3,000 ดอลลาร์ ทองแท่ง 50,000 บาท
บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) ผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจทองคำ วิเคราะห์แนวโน้มราคาทองคำในปัจจุบันว่า อยู่ในช่วงของการพักฐาน หลังจากที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และได้บันทึกจุดสูงสุดใหม่ (All Time High) ที่ระดับ 2,790 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อทรอยออนซ์
โดยแรงขายที่เกิดขึ้น สืบเนื่องมาจากการขายทำกำไรของนักลงทุน หลังจากราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี YLG ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อราคาทองคำในระยะยาว โดยคาดการณ์ว่า ราคาทองคำยังคงมีศักยภาพในการปรับตัวเพิ่มขึ้น จากปัจจัยสนับสนุนด้านอัตราดอกเบี้ยขาลงของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในอีก 2 ปีข้างหน้า ซึ่ง YLG ประเมินว่า ราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปแตะระดับ 2,850 - 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อทรอยออนซ์ ภายในปี 2568
YLG เผยทองคำพักฐานหลังเลือกตั้งสหรัฐฯ แต่ระยะยาวยังเป็นขาขึ้น
คุณฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนในทองคำ ประเมินว่า ราคาทองคำในปัจจุบันมีแนวโน้มทรงตัวหลังจากที่ราคาปรับลดลง ราว 250 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อทรอยออนซ์ นับตั้งแต่ทราบผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
โดยแรงขายที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการขายทำกำไรของนักลงทุน หลังจากที่ราคาทองคำได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง แตะระดับ 2,790 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อทรอยออนซ์ ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ จึงทำให้เกิดแรงเทขายทำกำไรออกมา
อย่างไรก็ตาม คุณฐิภา มองว่า แนวโน้มราคาทองคำในระยะยาวยังคงเป็นขาขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลายประการ นอกเหนือจากความผันผวนของตลาดอันเนื่องมาจากชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ ได้แก่
YLG คงเป้าหมายราคาทองคำปี 2568 แตะระดับ 3,000 ดอลลาร์ ทองคำแท่งในประเทศมีลุ้น 50,000 บาท
YLG ยังคงมั่นใจในศักยภาพการเติบโตของราคาทองคำ โดยคาดการณ์ว่าราคาทองคำในปี 2568 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับ 2,850 - 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อทรอยออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำแท่ง 96.5% ในประเทศ คาดว่าจะอยู่ในช่วง 46,800 - 49,250 บาทต่อบาททองคำ (อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนที่ 34.60 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ) และมีโอกาส ขึ้นไปถึง 50,000 บาทต่อบาททองคำ หากอัตราแลกเปลี่ยน เคลื่อนไหวในโซน 35.00 - 35.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
ปัจจัยสำคัญ ที่สนับสนุนการเติบโตของราคาทองคำในระยะยาว คือ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลงของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในช่วง 2 ปีข้างหน้า ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจความคิดเห็น ของผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมทองคำ ในการประชุมใหญ่ประจำปี ของสมาคมตลาดทองคำแห่งลอนดอน (LBMA) เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ คาดการณ์ว่า ราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มขึ้น และทำสถิติสูงสุดใหม่ ในปี 2568
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ เช่น ความต้องการทองคำ จากธนาคารกลางทั่วโลก เพื่อใช้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัย ที่กระตุ้นให้นักลงทุน หันมาลงทุนในทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
แววแห่งอนาคต ราคาทองคำยังคงเป็นขาขึ้น ท่ามกลางความท้าทายของเศรษฐกิจโลก
จากการวิเคราะห์ของ YLG พบว่าแนวโน้มการลงทุนในทองคำยังคงมีความน่าสนใจในระยะยาว แม้ว่าจะมีปัจจัยกดดันระยะสั้น อันเนื่องมาจากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และภาวะผันผวนของเศรษฐกิจโลก ทว่าทองคำยังคงรักษาสถานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่นักลงทุนให้ความสำคัญ โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลัก คือ แนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในอีก 2 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงดำเนินนโยบายสะสมทองคำเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงิน ประกอบกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ ยิ่งเป็นแรงผลักดันให้นักลงทุนแสวงหาสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง เช่น ทองคำ
YLG ประมาณการว่าราคาทองคำในปี 2568 จะปรับตัวสูงขึ้นไปแตะระดับ 2,850 - 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อทรอยออนซ์ และราคาทองคำแท่งในประเทศมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นถึง 50,000 บาทต่อบาททองคำ หากค่าเงินบาทอ่อนค่าลง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามสถานการณ์และปัจจัยต่างๆ อย่างใกล้ชิด วิเคราะห์ความเสี่ยง และจัดสรรพอร์ตการลงทุนให้มีความหลากหลาย โดยพึงระลึกว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับการลงทุนระยะยาว ดังนั้น การศึกษาข้อมูลเชิงลึก ประกอบการวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมต่างๆ อย่างรอบด้าน จึงเป็นสิ่งจำเป็นก่อนการตัดสินใจลงทุน และขอแนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน เพื่อประกอบการพิจารณา ทั้งนี้ ผู้ลงทุนควรตระหนักถึงความเสี่ยงในการลงทุนทุกครั้ง