ถึงแม้ว่าจะมีกฎระเบียบที่เข้มงวด แต่ ‘อินเดีย’ ยังคงเป็นผู้นำโลกในด้านการใช้สกุลเงินดิจิทัลในช่วงสองปีที่ผ่านมา ตามรายงานจาก Chainalysis แพลตฟอร์มข้อมูลบล็อคเชน ซึ่งแรงผลักดันส่วนใหญ่ มาจากนักลงทุนที่หวังจะใช้ประโยชน์จากตลาดที่เฟื่องฟู รวมถึงนักพัฒนาที่ใช้สกุลเงินดิจิทัล สำหรับโครงการที่เกี่ยวข้องกับบล็อคเชน แทนที่จะใช้ในชีวิตประจำวัน
Balaji Srihari ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจของ CoinSwitch Kuber ศูนย์แลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลในท้องถิ่น เผยว่า กลุ่มผู้ใช้งานส่วนใหญ่ มักเป็นกลุ่มนักลงทุนและนักเทรด ตามมาด้วยนักพัฒนาในกลุ่มย่อย เนื่องจากการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลผ่านแอป นั้นง่ายกว่าการเรียนรู้เทคโนโลยีบล็อคเชน
การนำสกุลเงินดิจิทัลมาใช้อย่างแพร่หลายในระดับรากหญ้านี้ เกิดขึ้นแม้ธนาคารกลางของอินเดียจะเตือนว่า สกุลเงินดิจิทัลอาจทำลายศักยภาพของหน่วยงาน ในการกำหนดและควบคุมนโยบายการเงิน และระบบการเงินก็ตาม
โดย ‘เดลี’ เก็บภาษีจากกำไรจากการขายสินทรัพย์ดิจิทัลสูงถึง 30% รวมถึงคริปโตเคอเรนซี สูงกว่าภาษีที่จัดเก็บจากหุ้นที่ถือครองเป็นเวลา 1 ปีขึ้นไป ถึง 2.5 เท่า และการขายคริปโตเคอเรนซีจะถูกเก็บภาษีที่ 1% ของมูลค่าธุรกรรมทั้งหมดด้วย
ส่วนหน่วยงานกำกับดูแลการลงโฆษณาในอินเดีย ได้กำหนดแนวปฏิบัติสำหรับโฆษณาคริปโต เช่น การชี้แจงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนดังกล่าว การดำเนินการดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากที่ได้มีการเปิดตัวแคมเปญโฆษณาที่มีผู้มีชื่อเสียงจากการแลกเปลี่ยนในท้องถิ่น เช่น CoinSwitch Kuber และ CoinDCX
ในขณะที่ ‘Binance’ เว็บแลกเปลี่ยนคริปโตที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถูกปรับเป็นเงิน 188.2 ล้านรูปี (2.25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) หรือราว 74.72 ล้านบาทในเดือนมิถุนายน หลังจากลงทะเบียนกับ FIU เพื่อพยายามกลับมาดำเนินการในประเทศอีกครั้ง
รวมทั้งเว็บแลกเปลี่ยนคริปโต KuCoin ที่ได้ลงทะเบียนกับหน่วยงานกำกับดูแลในเดือนมีนาคม แต่ถูกปรับเป็นเงินจำนวนเล็กน้อยที่ 3.45 ล้านรูปี หรือราว 1.37 ล้านบาทเช่นกัน
ถึงแม้มาตรการดังกล่าวจะไม่สามารถทำให้ชาวอินเดียหยุดลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลได้ แต่ค่าสัมบูรณ์ของการลงทุนกลับลดลง ตามข้อมูลของ Chainalysis ที่พบว่า มูลค่าของสกุลเงินดิจิทัลที่ซื้อขายในอินเดียลดลงเหลือประมาณ 1.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 5 ล้านล้านบาท ในเดือนมิถุนายน ลดลงประมาณ 40% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังพบนักลงทุนที่ถูกโกงด้วย หนึ่งในนั้น คือ ‘Ravi Handa’ ที่สูญเสียเงินรวม 230 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 7.67 พันล้านบาท จากการโจมตีทางไซเบอร์เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา บน WazirX ตลาดแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลของอินเดียที่ปิดตัวไปแล้ว
สิ่งที่น่าสนใจ คือ การโดนโกงในครั้งนี้ ไม่ได้ทำให้ความอยากใช้สกุลเงินดิจิทัลของชายวัย 41 ปีผู้นี้ลดน้อยลงแต่อย่างใด ตามที่ Handa กล่าวว่า “สำหรับผมแล้ว สกุลเงินดิจิทัลเป็นการเดิมพัน 10 ปี มูลค่าปัจจุบันที่ผมถืออยู่คือประมาณ 2 ล้านรูปี (23,800 หมื่นดอลลาร์สหรัฐฯ) หรือประมาณ 7.94 แสนบาท และผมจะดีใจมากหากมันเติบโตขึ้น 10 เท่าในตอนนั้น”
ในขณะที่ สำนักงานสอบสวนกลางแห่งสหรัฐฯ ได้รับการร้องเรียนจากอินเดีย 840 เรื่องเกี่ยวกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัลในปีที่แล้ว โดยมีมูลค่าความเสียหายรวม 44 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเกือบ 1.47 พันล้านบาท
มูลค่าความเสียหายทั้งหมดที่เกิดจากการฉ้อโกงที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัลทั่วโลกเกิน 4.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1.6 แสนล้านบาท นำโดย ‘สหรัฐอเมริกา’ ครองอันดับหนึ่งด้วยจำนวนการร้องเรียนมากถึง 57,762 เรื่อง ตามมาด้วย ‘แคนาดา’ 1,236 เรื่อง ‘สหราชอาณาจักร’ 962 เรื่อง และ ‘ไนจีเรีย’ ใกล้เคียงกับอินเดียที่ 841 เรื่อง
ความเชื่อมั่นของ Handa ในภาคส่วนดังกล่าวเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากสถาบันการเงินอย่าง BlackRock, Fidelity, และ Invesco เปิดตัวกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนที่ติดตามสกุลเงินดิจิทัล และ ‘เอลซัลวาดอร์’ กลายเป็นประเทศแรกในโลกที่รับรองการชำระหนี้ด้วยบิตคอยน์ได้
Srihari กล่าวว่า แม้ว่าระดับการลงทุนจะยังห่างไกลจากวันที่มีความผันผวนสูง แต่ผู้ที่เคยนำเงินไปอายัด และรอให้สถานการณ์ฟื้นตัว กำลังจะกลับมาลงทุนอีกครั้ง เนื่องจากพวกเขาได้รับกำลังใจจากกฎระเบียบที่เพิ่มมากขึ้น และมูลค่าของสกุลเงินดิจิทัลที่พุ่งสูงขึ้น
มูลค่าของบิตคอยน์พุ่งขึ้นเกือบสองเท่าเป็น 60,652 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 2.02 ล้านบาทในช่วงปีที่ผ่านมา และมีมูลค่าตลาดสูงถึง 1.26 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 42.02 ล้านบาท
ขณะที่ Ethereum พุ่งขึ้น 42% เป็น 2,346 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 78,250 บาท และมูลค่าตลาดที่ 3.17 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 10.57 ล้านล้านบาท ทำให้ทั้งสองเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า แม้การลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลอาจให้ผลตอบแทนสูง แต่ความผันผวนทำให้การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนที่ไม่สงสัยยังอาจตกเป็นเหยื่อของกลลวงที่สัญญาว่า จะให้ผลตอบแทนสูงอีกด้วย
ที่มา Nikkei Asia, Reuters, Business Standard