‘Perplexity AI’ สตาร์ทอัพด้าน AI ที่กำลังพัฒนาเครื่องมือการค้นหาเพื่อแข่งขันกับ Google กำลังอยู่ในช่วงของการระดมทุนจากนักลงทุนอีกครั้ง โดยคาดว่า การระดุมทุนในครั้งนี้มีมูลค่ากว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1.67 หมื่นล้านบาท ซึ่งอาจทำให้มูลค่าของบริษัทแตะที่ประมาณ 8-9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 2.67-3.01 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากการระดมทุกครั้งก่อนมากถึง 3 เท่า
เมื่อเดือนเมษายนของปีนี้ Perplexity AI มีมูลค่าเพียง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 3.34 หมื่นล้านบาทเท่านั้น โดยต่อมา มูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1 แสนล้านบาท หลังจากที่ปิดการระดมทุน 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพียงไม่กี่เดือน
ส่วนการระดมทุนครั้งล่าสุดของ Perplexity มาจากนักลงทุนมีความสนใจ และต้องการที่จะสนับสนุนบริษัท AI แห่งนี้ รวมถึง บริษัทอื่นๆ เช่น ‘OpenAI’ ที่ระดมทุนได้ 6.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 2.21 แสนล้านบาท เมื่อต้นเดือนนี้ ทำให้บริษัทมีมูลค่า 1.57 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเกือบ 5.25 ล้านล้านบาท
ปัจจุบัน รายได้ของ Perplexity มาจากการสมัครบริการสมาชิก โดยรายได้ต่อปีของบริษัท ซึ่งเป็นการประมาณการรายได้ทั้งปี โดยอิงจากการคาดการณ์ยอดขายของเดือนล่าสุด ได้เพิ่มขึ้นจาก 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 167 ล้านบาทในเดือนมกราคม เป็น 35 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเกือบ 1.17 พันล้านบาทในเดือนสิงหาคม
นอกจากนั้น Perplexity ยังเสนอบริการต่างๆ มากมาย นอกเหนือจากเครื่องมือค้นหาทั้งแบบชำระเงินและฟรี โดยล่าสุดได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถค้นหาไฟล์ภายในควบคู่ไปกับอินเทอร์เน็ต และแนะนำฟีเจอร์ใหม่สำหรับการค้นหาที่เกี่ยวข้องกับการเงิน ซึ่งรวมถึงราคาหุ้นและข้อมูลรายได้ของบริษัท
ก่อนหน้านี้ สื่อและสำนักข่าวบางรายจ่อฟ้อง Perplexity AI ในข้อหาการลอกเลียนเว็บไซต์และเนื้อหา โดยไม่ได้รับอนุญาต อย่างเช่น The New York Times ที่ได้สั่งให้ Perplexity หยุดใช้เนื้อหาของตนโดยไม่ได้รับอนุญาต
ขณะที่ Aravind Srinivas ซีอีโอ Perplexity AI แสดงความเต็มใจที่จะร่วมมือกับผู้จัดพิมพ์ และเน้นย้ำว่า บริษัทไม่ได้ตั้งใจที่จะขัดแย้งกับใคร และต้องการหาวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ นักลงทุนรายหลักที่สนับสนุน Perplexity ในปัจจุบัน ประกอบไปด้วย ‘NVIDIA’ ผู้ผลิตชิป, ‘Jeff Bezos’ ผู้ก่อตั้ง Amazon.com, ‘Andrej Karpathy’ ผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI, ‘Yann LeCun’ หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ AI ของ Meta, และ กลุ่ม ‘SoftBank’
ที่มา Bloomberg, TechCrunch, Financial Times