การบินไทยประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2567 อย่างน่าประทับใจ ด้วยกำไรสุทธิที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง และการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ภายใต้กลยุทธ์การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการดำเนินงานตามแผนฟื้นฟูกิจการอย่างเคร่งครัด
ผลประกอบการในไตรมาส 3 ปี 2567 ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) สะท้อนถึงการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของธุรกิจ โดยมีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) สูงถึง 45,828 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 8,820 ล้านบาท หรือคิดเป็น 23.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 37,008 ล้านบาท
การเติบโตของรายได้รวมเป็นผลมาจากปริมาณการขนส่งผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นเป็น 3.94 ล้านคน อย่างไรก็ดี อัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจาก 77.3% ในไตรมาส 3 ปี 2566 เป็น 76.1% ในไตรมาส 3 ปี 2567
การบินไทย มีค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) จำนวน 38,636 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีค่าใช้จ่ายรวม 29,289 ล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายที่ผันแปรตามปริมาณการผลิตและปริมาณการขนส่ง เช่น ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งมีจำนวน 13,550 ล้านบาท คิดเป็น 35.1% ของค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว)
จากรายได้และค่าใช้จ่ายดังกล่าว ส่งผลให้การบินไทยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) จำนวน 7,192 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 3 ของปี 2566 ซึ่งมีกำไร 7,719 ล้านบาท
ในไตรมาส 3 ปี 2567 การบินไทยมีต้นทุนทางการเงิน (รับรู้ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 หรือ TFRS 9) จำนวน 4,829 ล้านบาท และมีรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวรวม 10,119 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากกำไรอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศสุทธิ ส่งผลให้การบินไทยมีกำไรสุทธิจำนวน 12,483 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมากจากกำไรสุทธิ 1,546 ล้านบาทในไตรมาส 3 ปี 2566
ทั้งนี้ บริษัทฯ และบริษัทย่อยมี EBITDA หลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามเงื่อนไขสัญญาเช่าเครื่องบินรวมค่าเช่าเครื่องบินจากการใช้เครื่องบินที่เกิดขึ้นจริง (Power by the Hours) จำนวน 6,655 ล้านบาท
ความคืบหน้าการปรับโครงสร้างทุน การบินไทยยังคงมุ่งมั่นดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการ โดยให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างทุน เป็นกลยุทธ์สำคัญในการเสริมสร้างฐานะทางการเงินให้มีความมั่นคงและยั่งยืน
ผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2567 สะท้อนให้เห็นถึงสภาวะการณ์ทางธุรกิจที่มีทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบ โดยมีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) เติบโต 17.2% คิดเป็น 135,810 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งบ่งชี้ถึงความสามารถในการดำเนินธุรกิจ และการตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะที่ค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ที่ปรับตัวสูงขึ้น 28.9% คิดเป็น 111,617 ล้านบาท เป็นผลสืบเนื่องมาจากภาวะเงินเฟ้อ ต้นทุนด้านพลังงาน และการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้นในอุตสาหกรรม ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ลดลง 17.5% มาอยู่ที่ 24,193 ล้านบาท นอกจากนี้ มีภาระต้นทุนทางการเงินตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 (TFRS 9) จำนวน 14,233 ล้านบาท เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการโดยรวม
ในส่วนของรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวสุทธิเป็นรายได้รวม 5,273 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยรายการปรับปรุงรายได้บัตรโดยสารที่หมดอายุ กำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ซึ่งรายการดังกล่าวช่วยบรรเทาผลกระทบจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบันทึกผลขาดทุนจากการด้อยค่าของเครื่องบินแบบแอร์บัส A380-800
ทั้งนี้ 9 เดือนแรกปีนี้ มีกำไรสุทธิ 15,221 ล้านบาท และมี EBITDA หลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามเงื่อนไขสัญญาเช่าเครื่องบินรวมค่าเช่าเครื่องบินจากการใช้เครื่องบินที่เกิดขึ้นจริง (Power by the Hours) จำนวน 25,056 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพในการสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน
การบินไทยยังได้ตระหนักถึงความท้าทาย และยังคงมุ่งมั่นที่จะบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน และแสวงหาโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว
ในไตรมาส 3/2567 การบินไทยได้ดำเนินการบริหารจัดการฝูงบินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเครื่องบินประจำการทั้งสิ้น 77 ลำ ประกอบด้วยเครื่องบินแบบลำตัวแคบจำนวน 20 ลำ ซึ่งเหมาะสมกับการให้บริการในเส้นทางบินระยะสั้นและระยะกลาง และเครื่องบินแบบลำตัวกว้างจำนวน 57 ลำ เพื่อรองรับการให้บริการในเส้นทางบินระยะไกล
การบินไทยมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์จากฝูงบิน โดยมีอัตราการใช้งานเฉลี่ยสูงถึง 13.0 ชั่วโมงต่อลำต่อวัน ส่งผลให้ปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (ASK) เพิ่มขึ้น 19.2% และปริมาณการขนส่งผู้โดยสาร (RPK) เพิ่มขึ้น 15.3% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ยอยู่ที่ 77.4% ซึ่งปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากปีก่อนหน้าที่ 80.0% แม้กระนั้น บริษัทฯ ยังคงสามารถให้บริการขนส่งผู้โดยสารได้จำนวน 11.62 ล้านคน คิดเป็นอัตราการเติบโต 14.7% จากปีก่อนหน้า
ในส่วนของสถานะทางการเงิน ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 การบินไทยและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 263,743 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.4% จากงบการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 ขณะที่หนี้สินรวมอยู่ที่ 291,684 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.4% ส่วนของผู้ถือหุ้นยังคงติดลบที่ 27,941 ล้านบาท แต่มีการปรับตัวลดลงจากงบการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 จำนวน 15,201 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการปรับปรุงฐานะทางการเงินของบริษัทฯ ที่มีทิศทางที่ดีขึ้น
โดยมีสภาพคล่องทางการเงินอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยมีเงินสด ตั๋วเงินฝาก เงินฝากประจำที่มีกำหนดไถ่ถอนระยะยาว (มากกว่า 3 เดือน แต่ไม่เกิน 1 ปี) และหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนภายใน 1 ปี รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 82,587 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2567
นอกจากนี้ การบินไทยยังคงดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการอย่างเคร่งครัด โดยในงวดเก้าเดือนแรกของปี 2567 ได้ด้ชำระหนี้ตามแผนไปแล้วเป็นจำนวนเงิน 3,531 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการฟื้นฟูกิจการ และเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่เจ้าหนี้
การบินไทยเชื่อมั่นว่า ด้วยกลยุทธ์การบริหารจัดการฝูงบินและสถานะทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับการดำเนินงานภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความสามารถในการแข่งขัน เพื่อนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567 บริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อขออนุมัติในการปรับโครงสร้างทุน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญของแผนฟื้นฟูกิจการ โดยมีเป้าหมายหลักในการทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นกลับมาเป็นบวก อันจะเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การยกเลิกการฟื้นฟูกิจการในที่สุด
(ก) การแปลงหนี้เดิมเป็นทุนแบบภาคบังคับ (Mandatory Conversion) โดยเจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการ มีภาระผูกพันในการแปลงหนี้เดิมเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 14,862,369,633 หุ้น คิดเป็นมูลค่าไม่เกิน 37,828 ล้านบาท
(ข) การแปลงหนี้เดิมเป็นทุนโดยสมัครใจ (Voluntary Conversion) บริษัทฯ เปิดโอกาสให้เจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการ สามารถใช้สิทธิแปลงหนี้เดิมเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนได้ตามความสมัครใจ จำนวนไม่เกิน 4,911,236,813 หุ้น คิดเป็นมูลค่าไม่เกิน 12,500 ล้านบาท
(ค) การแปลงหนี้ดอกเบี้ยใหม่ตั้งพักเป็นทุนโดยสมัครใจ บริษัทฯ เปิดโอกาสให้เจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการ สามารถใช้สิทธิแปลงหนี้ดอกเบี้ยใหม่ที่ได้รับการตั้งพัก เป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนได้ตามความสมัครใจ จำนวนไม่เกิน 1,903,608,176 หุ้น คิดเป็นมูลค่าไม่เกิน 4,845 ล้านบาท
ทั้งนี้ หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จัดสรรเพื่อรองรับการแปลงหนี้เป็นทุน (ข้อ (ก) (ข) และ (ค)) มีราคาเสนอขายหุ้นละ 2.5452 บาท
โดยการบินไทยได้อำนวยความสะดวกให้แก่เจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการ ที่ปรากฏรายชื่ออยู่ในฐานข้อมูลของบริษัทฯ ณ วันที่ 28 ตุลาคม 2567 สามารถเข้าไปตรวจสอบสิทธิในการแปลงหนี้เป็นทุน ผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัทฯ ที่ https://ir.thaiairways.com/ ได้ตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 ถึงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567
ขณะนี้แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
คาดการณ์ว่าเจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการจะสามารถดำเนินการแสดงเจตนาการใช้สิทธิแปลงหนี้เป็นทุนตามแผนฟื้นฟูกิจการ อันประกอบด้วยการแปลงหนี้เดิมเป็นทุนโดยสมัครใจ (Voluntary Conversion) และการแปลงหนี้ดอกเบี้ยใหม่ตั้งพักเป็นทุนโดยสมัครใจ ได้ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ถึงวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ภายหลังจากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนได้รับการอนุมัติและมีผลใช้บังคับ
โดยเจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการสามารถแจ้งเจตจำนงในการใช้สิทธิแปลงหนี้เป็นทุนได้ ผ่านช่องทาง ดังนี้
(ก) การยื่นเอกสารแสดงเจตนา ณ ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ซึ่งดำเนินการในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่าย และ ณ ที่ตั้งสำนักงานใหญ่หรือสาขาของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทั่วประเทศ ซึ่งดำเนินการในฐานะตัวแทนจำหน่ายหลักทรัพย์
(ข) การแสดงเจตนาผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยใช้บริการ Money Connect by Krungthai ผ่านทาง Krungthai NEXT Application ซึ่งให้บริการแก่เจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการประเภทบุคคลธรรมดาเท่านั้น
อนึ่ง เจ้าหนี้สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ได้จากส่วนที่ 4 ของหนังสือชี้ชวน ซึ่งเผยแพร่ ณ เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. (https://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSEQ01.aspx?TransID=652590&lang=th)
ภายหลังจากกระบวนการแปลงหนี้เป็นทุนตามแผนฟื้นฟูกิจการเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว บริษัทฯ มีกำหนดการที่จะดำเนินการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 9,822,473,626 หุ้น (รวมถึงหุ้นส่วนที่เหลือจากการแปลงหนี้เดิมเป็นทุนโดยสมัครใจ (Voluntary Conversion) หากมี) ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมก่อนการปรับโครงสร้างทุนตามแผนฟื้นฟูกิจการ พนักงานของบริษัทฯ และบุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ตามลำดับ โดยคาดการณ์ว่าการเสนอขายดังกล่าวจะเสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2567 ภายหลังจากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนสำหรับการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนตามแผนฟื้นฟูกิจการมีผลใช้บังคับ
อย่างไรก็ตาม การบินไทยคาดว่า จะสามารถยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอยกเลิกการฟื้นฟูกิจการได้ภายในไตรมาสที่ 2/2568 และจะแจ้งความคืบหน้าของประเด็นสำคัญให้ทราบในโอกาสต่อไป
โดยการบินไทยยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างเต็มกำลัง โดยยึดมั่นในกลยุทธ์การบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ การเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน และการแสวงหาโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น อันจะนำไปสู่ความมั่นคงและความสำเร็จขององค์กรในระยะยาว
การบินไทยเชื่อมั่นว่า ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ประกอบกับแผนการดำเนินงานที่รอบคอบรัดกุม จะสามารถนำพาองค์กรให้ก้าวข้ามผ่านความท้าทายและบรรลุเป้าหมายในการฟื้นฟูกิจการได้อย่างสมบูรณ์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย และนำพาการบินไทยกลับสู่การเป็นสายการบินแห่งชาติที่ให้บริการด้วยมาตรฐานระดับสากล สร้างความภาคภูมิใจให้แก่คนไทย และเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไป
ทั้งนี้ การบินไทยจะยังคงเฝ้าติดตามสถานการณ์และปัจจัยต่างๆ อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งปรับกลยุทธ์และแผนการดำเนินงานให้มีความยืดหยุ่น เพื่อรับมือกับความท้าทายและคว้าโอกาสทางธุรกิจ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายเป็นสำคัญ
แหล่งข่าวจากเจ้าหนี้การบินไทย เผยว่า ที่ประชุมเจ้าหนี้วันนี้(8 พ.ย.) เจ้าหนี้หลายรายเสนอให้มีการเลื่อนการประชุมออกไปก่อน โดยลงคะแนนเสียงสนับสนุนมากกว่าครึ่ง และกำหนดนัดวันประชุมเจ้าหนี้ครั้งใหม่ในวันที่ 29 พ.ย.67
ทั้งนี้ วาระการพิจารณาได้แก่
วาระที่ 1 พิจารณาลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (Par Value) เพื่อล้างผลขาดทุนสะสมหลักทรัพย์
วาระที่ 2 พิจารณาชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟู โดยการบินไทยจะเสนอชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ก่อนกำหนด เป็นจำนวนเงินไม่น้อยกว่าจำนวนเงินปันผลที่จะมีการเสนอจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นในครั้งนั้นๆ
วาระที่ 3 พิจารณาเพิ่มผู้บริหารแผนฟื้นฟู โดยกระทรวงการคลังจะพิจารณาแต่งตั้งผู้บริหารแผน 2 รายเพิ่มเติม ได้แก่ นายปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กระทรวงคมนาคม และนายพลจักร นิ่มวัฒนา รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กระทรวงการคลัง
อย่างไรก็ตาม จับตาวันที่ 29 พ.ย.การประขุมเจ้าหนี้ หลังกระทรวงการคลังได้มีการส่งตัวแทน 2 ท่าน เข้าไปเป็นผู้บริหารแผน ซึ่งเป็นตัวแทนจากกระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลัง