การเติบโตของมูลค่าและผลการดำเนินงานของตลาดหุ้น ตั้งแต่ต้นปี 2567 จนถึงปัจจุบัน ได้ถูกครอบงำโดยบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับ AI เนื่องจากนักลงทุนได้เล็งเห็นถึงความก้าวหน้าในภาคส่วนเทคโนโลยีและบริการการสื่อสาร และการนำ AI เข้ามาใช้ในธุรกิจ รวมถึง สถาบันทางการเงิน นักวิเคราะห์ต่างแนะนำให้จับตามองการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้
โดยเฉพาะมูลค่าหุ้นของกลุ่ม ‘เจ็ดนางฟ้า’ หรือ Magnificent Seven ที่ประกอบไปด้วย Alphabet, Amazon, Apple, Meta, Microsoft, NVIDIA, และ Tesla มีการเติบโตต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2566 ด้วยผลกำไรมหาศาล จากความกระตือรือร้นในการพัฒนา AI ที่ช่วยผลักดันหุ้นกลุ่มเจ็ดนางฟ้าจำนวนมาก แซงหน้าตลาดในปี 2567
การเติบโตเห็นได้ชัดมากในช่วงปลายไตรมาสที่ 2/2567 จากผลตอบแทนที่แตกต่างกันอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2567 ที่ 5 ใน 7 ของหุ้นกลุ่มนางฟ้าทำสถิติ all-time high หรือราคาปิดตลาดหุ้นสูงที่สุด ดังนี้:
- Alphabet (GOOGL): 190.60 ดอลลาร์สหรัฐฯ
- Amazon (AMZN): 200.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ
- Apple (AAPL): 226.34 ดอลลาร์สหรัฐฯ
- Meta (META): 539.91 ดอลลาร์สหรัฐฯ
- Microsoft (MSFT): 467.56 ดอลลาร์สหรัฐฯ
แม้ว่า AI จะผลักดันการเติบโตของกลุ่มเจ็ดนางฟ้า แต่ Apple กลับไม่ใช่ผู้เล่นรายใหญ่ในพื้นที่นี้ จนกระทั่งเมื่อต้นเดือนมิถุนายนนี้ ที่ได้ประกาศฟีเจอร์ AI ล่าสุดอย่าง ‘Apple Intelligence’ ในงาน Worldwide Developers Conference (WWDC) และประกาศระบบสำหรับรวมโมเดลภาษาขนาดใหญ่จาก ChatGPT ของ OpenAI เข้ากับ iOS
ในขณะที่ NVIDIA ได้ทุบสถิติ all-time high ตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2567 ด้วยราคา 135.58 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหุ้น ก้าวขึ้นสู่บริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก แซงหน้า Microsoft และ Apple เพียงเวลาสั้นๆ หลังจากที่ประกาศแตกพาร์หุ้นไปตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม มูลค่าหุ้นของ NVIDIA ค่อยๆ ลดลงจนถึงล่าสุดที่แตะ 125.83 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ส่วน Tesla ที่เคย all-time high ไปตั้งแต่ปี 2564 เป็นหุ้นในกลุ่มเจ็ดนางฟ้าตัวเดียวที่มูลค่าปรับตัวลดลงนับตั้งแต่เริ่มต้นปี 2567 ส่งผลให้มีการเรียกร้องให้มีการตรวจสอบอีกครั้งว่า ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายนี้ ยังถือเป็นหนึ่งในกลุ่มเจ็ดนางฟ้าหรือไม่ อย่างไรก็ตาม บริษัทประเดิมเดือนกรกฎาคมด้วยมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้น เกือบลบล้างการขาดทุนเมื่อเทียบจากต้นปี หลังยอดส่งมอบรถยนต์ที่ดีกว่าที่คาดไว้ในไตรมาสที่สอง โดยนักวิเคราะห์บางคนแนะนำว่าตัวเลขใหม่อาจเป็น ‘จุดเปลี่ยน’ ของ Tesla ก็ว่าได้
ความคาดหวังที่สูง(มาก)ของนักลงทุน กับกลุ่มเจ็ดนางฟ้าในครึ่งปีหลัง
การดำเนินงานของหุ้นกลุ่มเจ็ดนางฟ้ามีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดในวงกว้างในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเป็นอย่างมาก หลังจากในช่วงครึ่งปีแรก หุ้นของ NVIDIA, Meta, Alphabet, Amazon, และ Microsoft คิดเป็น 62% ของผลตอบแทนของ S&P 500 ที่เพิ่มขึ้นมากขนาดนี้
Steve Sosnick หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ของ Interactive Brokers ได้เผยกับ Investopedia ว่า เมื่อมองไปข้างหน้า มันกลายเป็นคำถามที่ว่า หุ้นตัวไหนจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ตรงกับความคาดหวังที่สูงมากของนักลงทุน เพราะการพัฒนา AI ก็ใช้เวลานานพอสมควร แต่นักลงทุนก็มีความคาดหวังที่ขับเคลื่อนจากการพัฒนาของ AI ทั้งหลาย
ในขณะที่นักวิเคราะห์ของ Goldman Sachs คาดการณ์ว่า NVIDIA, Meta, Alphabet, Amazon, Microsoft และ Apple จะทำผลประกอบการไตรมาสสองเติบโต 30% เมื่อเทียบเป็นรายปี เทียบกับ 9% สำหรับ S&P 500 และ 5% สำหรับส่วนที่เหลือของตลาด ซึ่งหากนักลงทุนเกิดรู้สึกผิดหวังกับผลประกอบการที่ไม่เป็นไปตามคาด อาจเกิดผลไม่ดีกับมูลค่าหุ้นของเหล่าบิ๊กเทคฯ ก็เป็นได้
‘TSMC’ ว่าที่สมาชิกคนที่ 8 … หรือไม่?
‘TSMC’ หรือ Taiwan Semiconductor โรงหล่อชิปสัญชาติไต้หวันที่มีมูลค่าตลาดที่ 9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือบริษัทที่ใหญ่ที่สุดอันดับที่ 8 ของโลก ซึ่งเป็นผู้นำตลาดในด้านชิป และมีเทคโนโลยีชิป 3 นาโนเมตรชั้นนำของอุตสาหกรรม ที่ช่วยให้สามารถผลิตชิปที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในขณะนี้
แม้ว่า TSMC ไม่ได้ระบุชื่อลูกค้าทั้งหมด แต่สมาชิกของกลุ่มเจ็ดนางฟ้าทุกคนล้วเป็นลูกค้าโดยตรงหรือทางอ้อม โดย 38% ของรายได้ของ TSMC ในไตรมาสแรกมาจากกลุ่มสมาร์ทโฟน และกลุ่ม AI ที่เริ่มโดดเด่นเช่นกัน เห็นได้จากการคาดการณ์ของฝ่ายบริหารของ TSMC ที่คาดอัตราการเติบโตต่อปีจากกลุ่ม AI ที่ 50% ในอีกห้าปีข้างหน้า ด้วยฮาร์ดแวร์ที่เกี่ยวข้องกับ AI ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้ประมาณ 20% ของรายได้ทั้งหมด
ทั้งนี้ ปัจจัยทั้งสองให้ความเชื่อมั่นต่อเป้าหมายระยะยาวของฝ่ายบริหารในการเพิ่มรายได้ของ TSMC ที่อัตราการเติบโตต่อปีเฉลี่ยที่ 15-20% ในอนาคตอันใกล้ ซึ่งเห็นได้ค่อนข้างน้อยที่บริษัทยักษ์ใหญ่จะสามารถเติบโตในระยะยาวด้วยอัตราที่สูงขนาดนี้ จึงทำให้นักวิเคราะห์คาดว่า หรือ TSMC จะเป็นส่วนหนึ่งของ ‘Incredible Eight’ สมาชิกคนที่ 8 หรือไม่?
ที่มา Market Watch, Fool, Yahoo Finance, Investopedia, Investor's Business Daily, Companies Market Cap