โดยพบว่า รายได้รวมของ Microsoft อยู่ที่ 6.473 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 2.327 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.2% จากช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ซึ่งเกินความคาดหมายของนักวิเคราะห์ที่มองไว้ในระดับ 6.44 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่รายได้จากแต่ละหน่วยธุรกิจเป็นต่อไปนี้:
- ธุรกิจคลาวด์โดยรวม อยู่ที่ 2.85 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 19%
- ธุรกิจกลุ่มสินค้าและบริการที่ช่วยเพิ่มผลผลิต อยู่ที่ 2.03 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 11.1%
- ธุรกิจคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล อยู่ที่ 1.59 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 14.3%
ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 2.20 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 7.924 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.73% ซึ่งเกินความคาดหมายนัยกวิเคราะห์ที่ 2.18 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เช่นกัน ส่งผลให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 2.70 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหุ้น สู่ 2.96 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหุ้น หรือเพิ่มขึ้น 9.63%
ยอดขายในธุรกิจคลาวด์โดยรวม แม้จะเป็นตัวขับเคลื่อนรายได้ที่ใหญ่ที่สุดของ Microsoft กลับเพิ่มขึ้นต่ำกว่าที่ Wall Street คาดการณ์ไว้ที่ 2.87 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนในไตรมาสปัจจจุบัน บริษัทประมาณการว่ารายได้จากธุรกิจคลาวด์จะอยู่ที่ 2.86-2.89 หมื่นล้านดอลลารสหรัฐฯ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.91 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เช่นกัน
ส่วนหนึ่งมาจากการเติบโตของแพลตฟอร์มและบริการคลาวด์คอมพิวติ้ง Azure ที่ชะลอตัวลงเล็กน้อยในช่วงไตรมาสล่าสุด (เม.ย.-มิ.ย.) เหลือ 29% เมื่อเทียบเป็นรายปี ลดลงจาก 31% ในไตรมาสก่อนหน้า (ม.ค.-มี.ค.)
โดย Amy Hood ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน Microsoft กล่าวว่า สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากความต้องการ AI ที่เกินขีดความสามารถของบริษัท และคาดว่าจะคงอยู่ต่อไปในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 ทำให้การเติบโตของ Azure จะยังคงชะลอตัวลงเหลือระหว่าง 28-29% ในไตรมาสปัจจุบัน
ในขณะที่นักลงทุนต่างเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดว่า การลงทุนด้าน AI ที่เข้มข้นของ Microsoft สามารถแปลงเป็นผลลัพธ์ทางการเงินที่จับต้องได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านความร่วมมือที่สำคัญกับ OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT ที่ทำให้ Microsoft กลายเป็นหนึ่งในผู้นำด้าน AI
ทั้งนี้ Microsoft ได้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI รวมถึงศูนย์ข้อมูลและชิปเฉพาะทางอย่างมหาศาล เพื่อสนับสนุนความทะเยอทะยานด้าน AI แต่ก็กระทบถึงค่าใช้จ่ายด้านทุนที่เพิ่มขึ้นเกือบ 80% เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะระดับ 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในไตรมาสที่ผ่านมา
สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ในปีงบประมาณ 2024 ทั้งหมด ค่าใช้จ่าย Microsoft แตะระดับ 5.57 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากปีงบประมาณ 2023 ที่อยู่ในระดับเพียง 3.19 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่ปีงบประมาณ 2016 และ 2020 บริษัทมีค่าใช้จ่ายเพียง 8.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามลำดับเท่านั้น
Microsoft ระบุว่า การใช้จ่ายในโครงสร้างพื้นฐาน AI จะยังคงเพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นสัญญาณที่แสดงถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการเข้ายึดครองตลาด AI ตามที่ Satya Nadella ซีอีโอของ Microsoft ย้ำว่า การลงทุนดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ระยะยาวที่บริษัทคาดการณ์ผลตอบแทนที่สำคัญจากการลงทุนเหล่านี้ในอนาคต
ในขณะนี้รายได้หรือจำนวนลูกค้าสำหรับผู้ช่วย AI อย่าง Copilot ที่สามารถสรุปเอกสาร สร้างโค้ดคอมพิวเตอร์ อีเมล์ และเนื้อหาอื่นๆ ยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขอย่างเป็นทางการ ด้าน Nadella เพียงกล่าวว่า จำนวนผู้ใช้รายบุคคลของ Copilot มีมากกว่า 10,000 คน เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าในแต่ละไตรมาส
นอกจากนี้ รายได้จากธุรกิจวิดีโอเกม Xbox ของ Microsoft เติบโตมากถึง 61% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการซื้อ Activision Blizzard มูลค่า 6.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ช่วยสนับสนุนกลุ่มเกมของ Microsoft โดยเพิ่มแฟรนไชส์ยอดนิยม เช่น Call of Duty, World of Warcraft และ Candy Crush ลงในพอร์ตโฟลิโอ จึงดึงดูดผู้ใช้มากขึ้นและเพิ่มการบริโภคเนื้อหาและการสมัครรับบริการ
ส่วนไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะรายงานผลประกอบการทางการเงิน บริการ Azure และ Office 365 ของ Microsoft ประสบปัญหาขัดข้องบางส่วน ทำให้บริการต่างๆ รวมถึง Starbucks ต้องหยุดให้บริการชั่วคราว ในขณะที่ไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้ คอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows ของ Microsoft ประมาณ 8 ล้านเครื่องเกิดขัดข้อง หลังจากที่ CrowdStrike ได้เผยแพร่การอัปเดตซอฟต์แวร์ที่มีข้อบกพร่อง
แม้ว่าปัญหาขัดข้องดังกล่าวจะเกิดจาก CrowdStrike แต่ Tyler Radke นักวิเคราะห์จาก Citigroup กล่าวว่า Microsoft อาจยังต้องรับมือกับการรับรู้เชิงลบเกี่ยวกับช่องโหว่ที่รับรู้ได้ในระบบปฏิบัติการ ทั้งนี้ Nadella กล่าวถึงความก้าวหน้าของผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ในระหว่างการประชุมกับนักลงทุนว่า Microsoft ยังคงให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเหนือสิ่งอื่นใด
ทั้งนี้ หุ้นของ Microsoft ปิดตลาดที่ 422.92 ดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลง 0.89% และมูลค่าตลาดที่ 3.143 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อยู่ที่อันดับ 2 ของบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก
ที่มา Microsoft, Financial Times, Bloomberg, Companies Market Cap, Yahoo Finance