NVIDIA รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ 2568 (พฤษภาคม - กรกฎาคม 2567) ซึ่งดีกว่าที่วอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้ และให้แนวทางที่แข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้สำหรับไตรมาสปัจจุบัน แม้หุ้นร่วงลงมากถึง 8% นอกเวลาทำการซื้อขาย
NVIDIA รายได้รวมในไตรมาสอยู่ที่ 30,040 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1.02 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 122% จากช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา หลังจากที่เติบโตเกิน 200% ติดต่อกัน 3 ไตรมาส ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 16,599 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 564,030 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 168%
โดยรายได้จากดาต้าเซ็นเตอร์ ที่รวมถึงโปรเซสเซอร์ AI เพิ่มขึ้น 154% จากปีที่ผ่านมา เป็น 26,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 893,700 ล้านบาท คิดเป็น 88% ของยอดขายทั้งหมด แม้ยอดขายในส่วนนี้ ไม่ได้มาจากชิป AI ทั้งหมด แต่รายได้ 3,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มาจากผลิตภัณฑ์เครือข่ายของบริษัท
ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทลดลงในไตรมาสนี้เหลือเพียง 75.1% จากอัตรา 78.4% ในไตรมาสก่อนหน้า แม้ว่าจะยังคงเพิ่มขึ้นจากอัตรา 70.1% ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยสำหรับทั้งปี บริษัทกล่าวว่า คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ ‘ช่วง 70% กลางๆ’ ทำให้นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า อัตรากำไรขั้นต้นทั้งปีอยู่ที่ 76.4% ตามข้อมูลของ StreetAccount
ถึงแม้ NVIDIA จะทำรายได้และกำไรได้ดีกว่าที่วอลล์สตรีทคาดไว้ แต่บรรดานักลงทุนก็ดูผิดหวังที่ NVIDIA ไม่ทำผลงานได้ดีไปกว่าที่คาดไว้ และข่าวลือเกี่ยวกับความล่าช้าที่อาจเกิดขึ้นกับชิป AI รุ่นล่าสุดอย่าง ‘Blackwell’ ก็ทำให้เกิดความกังวลก่อนจะประกาศผลประกอบการ
การขยายตัวของ NVIDIA มาจากการเติบโตของ AI อย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงหุ้นของ NVIDIA ที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 150% ในปีนี้ หลังจากพุ่งขึ้นเกือบ 240% ในปี 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งก่อนหน้านี้ มูลค่าตลาดของบริษัทเพิ่งจะทะลุ 3 ล้านล้านดอลลาร์ฯ และเคยครองแชมป์บริษัทมหาชนที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกในช่วงสั้นๆ แม้ว่าตอนนี้จะรองจาก Apple ก็ตาม
ปัจจุบัน ธุรกิจส่วนใหญ่ของ NVIDIA คือ การสนับสนุนผู้ให้บริการคลาวด์และบริษัทอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้บริโภคจำนวนหนึ่ง เช่น Microsoft, Alphabet, Meta และ Tesla โดยชิปของ NVIDIA อย่าง H100 และ H200 ใช้ในแอปพลิเคชัน Generative AI ส่วนใหญ่ เช่น ChatGPT ของ OpenAI
Colette Kress ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ NVIDIA กล่าวว่า "ในไตรมาสที่สี่ เราคาดว่าจะทำรายได้ให้กับ Blackwell ได้หลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเบื้องต้น ได้จัดส่งตัวอย่างชิป Blackwell ในช่วงไตรมาสนี้ และได้ทำการเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์เพื่อให้การผลิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น”
ส่วน Jensen Huang ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NVIDIA เผยว่า "การเปลี่ยนแปลงหน้ากากเสร็จสมบูรณ์แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงการทำงานใดๆ โดยจะเริ่มการผลิตในไตรมาสที่สี่ ซึ่งไม่ได้หมายความว่า จะเริ่มการส่งออก”
อย่างไรก็ตาม NVIDIA คาดว่า ชิปรุ่นปัจจุบันที่เรียกว่า ‘Hopper’ จะเพิ่มปริมาณการจัดส่งทั้งหมดในอีกสองไตรมาสข้างหน้า แทนที่จะลดลง เนื่องจากความต้องการ Hopper ยังคงแข็งแกร่ง และความคาดหวังต่อ Blackwell นั้นเหลือเชื่อมาก
ด้านธุรกิจเกมของ NVIDIA ครั้งหนึ่งเคยเป็นเป้าหมายหลักของบริษัท ก่อนที่ดาต้าเซ็นเตอร์จะเริ่มต้นขึ้น รายได้จากเกมเพิ่มขึ้น 16% จากปีก่อนเป็นประมาณ 2,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 98,540 ล้านบาท ส่วนหนึ่งมาจากการจัดส่งการ์ดเกมพีซีที่เพิ่มขึ้น รวมถึง SOC สำหรับคอนโซลเกม และการจัดหาชิปสำหรับคอนโซลของ Nintendo
นอกจากนี้ NVIDIA ยังผลิตชิปสำหรับนักออกแบบกราฟิกระดับไฮเอนด์ รวมถึงรถยนต์และหุ่นยนต์ ส่งผลให้ธุรกิจการสร้างภาพระดับมืออาชีพของบริษัทเติบโตขึ้น 20% จากปีที่ผ่านมา ทำรายได้ 454 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 15,430 ล้านบาท ในขณะที่รายได้จากอุตสาหกรรมยานยนต์และหุ่นยนต์อยู่ที่ 346 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 37%
ทั้งนี้ NVIDIA ได้อนุมัติการซื้อหุ้นคืนเพิ่มเติมมูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รวมทั้งจะจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดไตรมาสถัดไปที่ 0.01 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหุ้นในวันที่ 3 ตุลาคม 2567 ให้แก่ผู้ถือหุ้นทั้งหมดที่ลงทะเบียนในวันที่ 12 กันยายน 2567