วิกฤตศรัทธา การขาดความเชื่อมั่นในการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เป็นสถานการณ์ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ ภายหลังจากที่มีการทุจริตกันเกิดขึ้น ตกแต่งบัญชีลูกหนี้การค้า ตกแต่งบัญชีสินค้าคงคลัง และที่สำคัญตกแต่งยอดขาย ซึ่งจะเป็นที่มาของรายได้และกำไรของบริษัทจดทะเบียน อย่างกรณีของ STARK
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนต่างชาติมีการทยอยขายหุ้นออกไป นอกจากนี้ หลังจากมีข่าวกรณี STARK ขึ้นมา ก็ยังมีหุ้นบริษัทอื่นที่มีลักษณะการซื้อขายที่ผิดปกติ ร้อนแรงเกินไปอย่าง OTO ที่ SET ต้องมีประกาศเตือนนักลงทุนพิจารณาให้รอบคอบก่อนลงทุน
SET ทำได้แค่เตือนหรืออย่างไร และกระแสเรื่องกำกับดูแลตลาดหุ้นไทย ดูแลนักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยอยู่ตรงไหน?
จนล่าสุด คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีมติเห็นชอบแนวทางปรับปรุงเกณฑ์สำหรับ บจ. ใน SET และ mai ทั้งกระบวนการ ตั้งแต่ปรับคุณสมบัติ บจ. เข้าใหม่ให้มีความแข็งแกร่งขึ้น พร้อมยกระดับการกำกับดูแลเพื่อเพิ่มคุณภาพ บจ. เตรียมเปิดรับฟังความคิดเห็นในไตรมาส 3 นี้
โดยคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ มีมติเห็นชอบแนวทางให้ปรับ positioning เพิ่มความแตกต่างของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เพื่อสนับสนุนบริษัทที่มีฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงานแข็งแกร่ง ให้สามารถใช้ประโยชน์จากตลาดทุนได้ พร้อมคุมเข้มการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียน
ด้วยการปรับปรุงเกณฑ์เครื่องหมาย "C (Caution)" เกณฑ์เพิกถอน ตลอดจนเกณฑ์ Backdoor Listing เพื่อเพิ่มคุณภาพบริษัทจดทะเบียน และดูแลผู้ลงทุน โดยจะเปิดรับฟังความเห็นจากผู้เกี่ยวข้องภายในไตรมาส 3 ปีนี้
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เผยว่า การประชุมคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันนี้ (21 มิถุนายน 2566) ได้มีมติเห็นชอบแนวทางปรับปรุงหลักเกณฑ์สำหรับบริษัทจดทะเบียนใน SET และ mai ทั้งกระบวนการ
โดยเป็นไปตามแผนกลยุทธ์ระยะ 3 ปี (2566-2568) ในการเพิ่มโอกาสการระดมทุนสำหรับธุรกิจทุกขนาด และเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ตั้งแต่การรับบริษัทจดทะเบียนที่มีความเข้มแข็งด้านฐานะการเงินและผลการดำเนินงานมากขึ้น รวมทั้ง ให้สอดคล้องกับที่ปัจจุบันมีตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVEx) สำหรับธุรกิจ SMEs และ Startup ที่ต้องการเติบโต
สรุปแนวทางการปรับปรุงเกณฑ์สำหรับบริษัทจดทะเบียน
- การ repositioning SET และ mai โดยปรับปรุงคุณสมบัติบริษัทจดทะเบียนตามเกณฑ์รับหลักทรัพย์ใน SET และ mai โดยจะเพิ่มกำไรเพื่อรองรับบริษัทที่มีความสามารถในการทำกำไรที่สูงขึ้น และเพิ่มส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity) โดยกำหนดทุนชำระแล้ว (Paid-up capital) เริ่มต้นเท่ากัน เพื่อให้ส่วนของทุนมีความสอดคล้องกับลักษณะการประกอบธุรกิจ เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) และการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชน (Public Offering) สำหรับบริษัทขนาดเล็กให้สูงขึ้น เพื่อดูแลสภาพคล่องในตลาดรอง
- การยกระดับการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียน
-เพิ่มการเตือนผู้ลงทุนด้วยเครื่องหมาย "C"
กรณีบริษัทมีฐานะการเงินหรือผลการดำเนินงานที่มีแนวโน้มลดลง อาทิเช่น
- มีรายได้จากการดำเนินงานต่ำหรือขาดทุนต่อเนื่อง
- ผิดนัดชำระหนี้สถาบันการเงินหรือตราสารหนี้
- ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินในทุกกรณี เนื่องจากบริษัทที่ปัญหาด้านฐานะการเงินมักตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงสำคัญ เช่น ผู้ถือหุ้นหรือธุรกิจ หรือเป็นเป้าหมายของ Backdoor Listing รวมถึงอาจมีการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ผิดปกติ
-เพิ่มความเข้มงวดในการเพิกถอน
- โดยคณะกรรมการจะพิจารณาเพิกถอนบริษัทที่ไม่สามารถแก้ไขเหตุเพิกถอนและย้ายกลับมาซื้อขายได้เมื่อครบกำหนดเวลา เพื่อให้มีบริษัทจดทะเบียนที่มีคุณภาพ
- เพิ่มความเข้มข้นในการพิจารณาคุณสมบัติบริษัท Backdoor Listing
โดยสำนักงาน ก.ล.ต.จะร่วมพิจารณาคุณสมบัติของบริษัทเช่นเดียวกับกรณี IPO เพื่อให้บริษัทที่เข้าจดทะเบียนไม่ว่าด้วยช่องทางใดมีคุณภาพใกล้เคียงกัน
สำหรับแนวทางการปรับปรุงเกณฑ์ดังกล่าว เป็นการทำงานร่วมกันของตลาดหลักทรัพย์ฯ กับสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นและความมีเสถียรภาพของตลาดทุน หลังจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง ภายในไตรมาส 3 ปีนี้ ก่อนเสนอคณะกรรมการ ก.ล.ต. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ และจะทยอยประกาศใช้เกณฑ์ต่าง ๆ ต่อไป
จากการ Action ของ SET ในครั้งนี้ ของการปรับปรุงหลักเกณฑ์ให้เข้มงวดขึ้นนั้น ก็หวังว่าจะช่วยป้องกันการเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับบริษัทจดทะเบียนอื่นๆ อีก และจะสามารถปิดช่องโหว่ในการใช้ตลาดหุ้นไทยเป็นช่องทางการแสวงหาผลประโยชน์ในลักษณะไม่ถูกต้อง ไม่ถูกกฎหมายอีกต่อไป จึงจะสามารถเรียกความเชื่อมั่น เรียกศรัทธาคืนกลับมาได้
VDO เกี่ยวกับ STARK