ปี 2566 เป็นปีที่ราคาทองคำในบ้านเราปรับตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สาเหตุเพราะนอกจากราคาทองคำในตลาดโลกปีนี้จะปรับตัวขึ้นแรงแล้ว สำคัญที่สุดคงเป็นเพราะค่าเงินบาทของไทยมีการอ่อนค่าใกล้ 36 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ราคาทองในประเทศมีราคาสูงขึ้นจนทะลุ 34,000 บาทต่อบาททองคำ
คำถามที่น่าสนใจคือ ในปี 2567 ที่กำลังจะมาถึงนี้ทิศทางของราคาทองคำยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่ และมีปัจจัยอะไรที่สำคัญอีกบ้างที่มีผลต่อราคาทองคำและนักลงทุนต้องติดตาม
SPOTLIGHT พูดคุยกับคุณวรุต รุ่งขำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จํากัด ที่ได้สรุปภาพการลงทุนในทองคำในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเพื่อให้นักลงทุนได้เห็นการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในแต่ละปี ว่ามีจัดสูงสุด ต่ำสุดในแต่ละปีเท่าไหร่กันบ้าง
ปี 2566 ราคาทองไทยทำนิวไฮ
ปี2566 เป็นปีทองของราคาทองไทยก็ว่าได้ ราคาเปิดต้นปี อยู่ที่ 29,750 บาท/บาททองคำ และคาดการณ์ว่า ราคาปิดสิ้นปี จะอยู่ใกล้ๆ 33,500 บาท/บาททองคำ หากเป็นเช่นนี้ถ้านักลงทุนซื้อทองตอนต้นปีแล้วขายออกตอนปลายปี จะได้กำไร 12.61% หรือ 3,750 บาท/บาททองคำ แต่ถ้าหากว่า ท่านไหนซื้อทองคำในจุดต่ำสุดของปี 66 คือ 29,550 บาท แล้วขายออกที่จุดสูงสุดของปี คือ 34,250 เท่ากับมีกำไร 15.91% หรือ 4,700 บาทต่อบาททองคำ
ทั้งนี้หากดูราคาต่ำสุดของทองคำในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาพบว่า ยกฐานสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยราคาทองคำปี 2566 ราคาทองเนี่ยมีการยกโลว์จากระดับปีก่อนหน้าหรือระดับต่ําสุดของปีก่อนหน้าบริเวณ 1,614 มาอยู่ที่ระดับ 1.804 ดอลลาร์ เท่ากับยกขึ้นมาจากปีก่อนหน้าเนี่ยประมาณ200 ดอลลาร์
“หากย้อนหลังไปประมาณ20ปี จะพบว่า ทองคำให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยสูงกว่าระดับประมาณ8%ถึง9%อยู่แล้ว แต่ผลตอบแทนแต่ละปีบางปีให้ผลตอบแทนเป็นลบบางปีก็ให้ผลตอบแทนเป็นบวกดังนั้นเนี่ยการลงทุนในฝั่งทองคําไม่เสมอไปที่จะให้ผลตอบแทนจากต้นปีปลายปีเป็นบวก เช่น ปี202 ถ้าซื้อต้นปีไปขายปลายปีทองคําทรงทรงตัว แต่ถ้าปี2020 (2563) ราคาทองคําขึ้นไปที่ระดับ2,075 ดอลลาร์ ปีนั้นราคาทองคําบวกขึ้นมา380เหรียญต่อทรอยออนซ์ให้ผลตอบแทนสูงถึง25%เลยทีเดียว
ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคํา ปี 2566
1.การคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มการหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ
ในปี 2566 ช่วงเดือนพฤษภาคมที่ทองขึ้นไปที่ระดับ 2,079 ดอลลาร์ เพราะความกังวลเกี่ยวกับภาวะวิกฤติแบงค์รันหรือการคาดการณ์ว่าภาคระบบธนาคารในฝั่งสหรัฐกําลังจะเกิดภาวะล่มสลายหรือเกิดแบงค์ล้มกดดันตลาดหุ้นปรับฐานและนักลงทุนเข้าถือครองทองคําในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยจนดันราคาขยับขึ้นไปที่ระดับ 2,079 ดอลลาร์ ซึ่งภาวะวิกฤติในภาคธนาคารในฝั่งสหรัฐเป็นปัจจัยที่ทําให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯหรือว่าเฟดอาจจะต้องหยุดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายแล้วก็มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงภายในสิ้นปีนี้ แต่พอสถานการณ์หรือปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนแปลงไปผลประกอบการของกลุ่มธนาคารออกมามีกําไร เศรษฐกิจจะไม่ถดถอย ไม่เกิดวิกฤติทางการเงินนักลงทุนที่ซื้อทองคําไปแล้วก็ขายทองคําออกมา
อย่างไรก็ตามการประชุมนัดสุดท้ายของปี 2566 ธนาคารกลางสหรัฐก็ส่งสัญญาณ ในการลดดอกเบี้ยลงในปีหน้าและปี 2568-2569 ส่งผลให้ราคาทองคำประคองตัวเหนือ 2,000 เหรียญได้ค่อนข้างดี ดังนั้นปัจจัยดอกเบี้ยขาลง เศรษฐกิจอ่อนแอ เป็นตัวหนุนราคาทองคำในปี 2024
2.สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง
การสู้รบกันระหว่างอิสราเอลกับฮามาสเป็นปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นความตึงเครียดทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ทำให้ทองคํามีการพุ่งทะยานหรือมีการปรับตัวขึ้นอีกครั้ง แต่พอสถานการณ์ความตึงเครียดคลี่คลายลง ราคาทองคำก็อ่อนตัวหรือเกิดแรงขายทํากําไรสลับกลับลงมาในระดับที่ค่อนข้างมาก แต่อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ของโลกยังมีความสุ่มเสี่ยงอีกหลายจุดที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า ปัจจัยนี้จึงยังมีผลต่อทิศทางราคาทองคำในปี 2024 ต่อเช่นกัน
ปี 2024 ราคาทองมีโอกาสปรับตัวขึ้นแตะ 36,000 บาท /บาททองคำ
YLG ประเมินว่า ปี 2024 ราคาทองคำอาจปรับตัวขึ้นได้อีก โดยมองกรอบการเคลื่อนไหวของราคาทองคํา หากมีการอ่อนตัวลงมาแล้วไม่ได้มีการทํานิวโลว์หรือทําระดับต่ําสุดใหม่จากปีที่ผ่านมาในโซน 1,804 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ ราคาทองคําแท่ง 96.5% ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้น
- กรอบแนวรับ 1,760- 1,847 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 29,400 บาท/บาททองคำ
- กรอบแนวต้าน 2,070- 2,144 หรือมีโอกาสทะลุ 2,200 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นราคาทองไทย 34,500 - 35,700
หรืออาจไปได้สูงถึง 36,700 บาท /บาททองคำ
ทั้งนี้สมมติฐานดังกล่าว ประเมินจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือค่าเงินบาทของไทยอยู่ที่ระดับประมาณ 35.20 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นนักลงทุนนอกจากติดตามปัจจัยเศรษฐกิจประเทศหลักๆอย่างสหรัฐฯ จีน แล้วก็ต้องไม่พลาดที่จะดูความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจไทยด้วยเพราะจะมีผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนของไทยและราคาทองคำด้วยเช่นกัน
รับชมวีดีการสัมภาษณ์ทิศทางราคาทองคำปี 2567