การโพสต์เซลฟีหลังจากที่เราแต่งหน้าแต่งตัวสวย ๆ โพสต์ภาพที่ได้ไปเที่ยวต่างประเทศเจ๋ง ๆ หรือโพสต์ถ้วยรางวัลที่เราภาคภูมิใจ อาจเป็นการแชร์ประสบการณ์ทั่วไปที่ชาวโซเชียลทำกันเป็นปกติ แต่ถ้าหากมันเกิดเลยเถิด เป็นการโพสต์อวดรถหรู-คอนโดหรู ที่ทำให้ทุกคนเข้าใจผิดว่าเป็นของตัวเอง หรือโพสต์ว่ากำลังรับผิดชอบงานใหญ่ ทั้ง ๆ ที่แทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในโปรเจกต์นั้น อาจจะต้องหันมามองแล้วว่า ปัญหาอะไรที่ทำให้มนุษย์เราสร้างเรื่องเท็จมาหลอกตาคนรอบตัว
นิตยาสารทางจิตวิทยาระดับโลก Psychologs World เผยแพร่บทความเกี่ยวกับจิตวิทยาของคนที่ชอบอวดจนต้องสร้างภาพหรือสร้างตัวตนใหม่ที่เกินความจริงไป ไม่ว่าจะอวดความสำเร็จหรืออวดความมั่งคั่ง แท้จริงแล้ว อาจเป็นกลไกทางจิตวิทยาที่สร้างขึ้นมาจากความไม่มั่นคงในจิตใจ โดยบทความดังกล่าวเชื่อว่า มี 4 เบื้องหลังหลัก ที่ทำให้คนกล้าที่จะโกหกลงโซเชียลเกี่ยวกับความสำเร็จของตัวเอง
ในสังคมปัจจุบัน โซเชียลมีเดียมีความสำคัญต่อชีวิตของคนเราอย่างมาก ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อไลฟ์สไตล์ของผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงตัวตน ซึ่งโซเชียลมีเดียช่วยให้เราแสดงตัวตนของเราผ่านเครื่องมือเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี ในขณะที่ความต้องการการยอมรับจากสังคมเข้ามามีบทบาท จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะใช้เครื่องมือนี้สร้างภาพลวงตาขึ้นมา และในยุคที่คนส่วนใหญ่แบ่งปันความสำเร็จลงบนโลกออนไลน์ ทำให้หลายคนเข้าใจผิดไปว่า ใคร ๆ ก็ประสบความสำเร็จกันทั้งนั้น เมื่อหันกลับมามองตัวเอง อาจจะเข้าใจผิดไปว่าตัวเราช่างน่าเบื่อและขาดสีสัน นำไปสู่ความเชื่อว่าเราไม่เป็นที่ยอมรับของคนรอบตัว
โดยธรรมชาติทางจิตวิทยาแล้ว มนุษย์ล้วนโหยหาการยอมรับจากคนรอบตัว ซึ่งในยุคนี้ โซเชียลมีเดียได้กลายมาเป็นช่องทางที่ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงคุณค่าในตัวเอง ยอดไลก์ ยอดติดตาม ยอดแสดงความคิดเห็น ถูกนำมาใช้เป็นมาตรวัดความชื่นชอบ ความสำเร็จของผู้โพสต์ ยิ่งยอดเหล่านี้สูงเท่าไหร่ อาจหมายความว่ายิ่งได้รับการยอมรับมากขึ้นเท่านั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกของคนที่โหยหาการยอมรับอย่างหนัก จะทำทุกวิถีทางที่จะได้ยอดเหล่านี้มา แม้จะต้องแลกกับการปั้นคอนเทนต์เกินความเป็นจริงไปบ้าง
ในสังคมของเรา มีแรงกดดันที่จะต้องประสบความสำเร็จและน่าดึงดูดใจ บุคคลบางคนอาจใช้ปัจจัยภายนอก เช่น ยอดไลก์และผู้ติดตามเป็นพื้นฐานในการประเมินคุณค่าในตัวเอง มากกว่าคุณค่าและลักษณะนิสัยภายใน ดังนั้น พวกเขาจึงอาจรู้สึกอยากแสดงความสำเร็จของตนออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้รู้สึกว่าได้รับการยอมรับและรักษาความนับถือตนเองเอาไว้
“ความกลัว” หรือ Fear เป็นหนึ่งในอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์ที่ผลักดันให้เราทำอะไรได้หลายอย่าง บางครั้งความกลัวทำให้เราหนีหรือลุกขึ้นสู้แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งในทางจิตวิทยามีวลีหนึ่งที่เรียกว่า Fear of missing out หมายถึงความกลัวที่จะพลาดโอกาส หรือกลัวว่าจะจืดจางไป จนไม่ถูกมองเห็น ยิ่งในยุคที่ทุกคนดูไปเที่ยวญี่ปุ่น ฮ่องกง ไต้หวันอย่างง่ายดายเต็มหน้าฟีดของเรา ก็ยิ่งสร้างความความรู้สึกตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราได้พลาดอะไรดี ๆ ไปหรือเปล่า เราแย่มากเลยหรือเปล่าที่ไม่ได้ไปเที่ยวต่างประเทศแบบพวกเขา
ความกลัวที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่เพราะกลัวจะเสียโอกาสทั้งหมดเสียทีเดียว แต่ยังเป็นความกังวลว่า จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังด้วย ซึ่งแท้จริงแล้ว ไม่ได้เกิดขึ้นแค่เฉพาะยุคที่มีสื่อสังคมออนไลน์เท่านั้น ย้อนกลับไปในอดีต อาจมองเห็นชัดเจนในรูปแบบของการรวมกลุ่มชุมชน การเข้าร่วมพิธีอะไรบางอย่างในหมู่บ้าน เพื่อให้ชาวบ้านเห็นว่าเราก็เป็นส่วนหนึ่งของงานนี้ เพราะคิดในทำนองว่า มารวมกลุ่มกับเขาไว้ก่อน เผื่อว่าหากมีผลประโยชน์หรือต้องการขอความช่วยเหลือในอนาคต
ดังนั้น Fear of missing out จึงถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นและทำให้เราต้องทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคนรอบตัว เช่น อัลกอริทึ่มของ Tiktok ที่ออกแบบมาให้ทุกคนเต้นชาเลนจ์ เต้นท่าเดียวกัน เพลงเดียวกัน ก็เป็นการกระตุ้นความรู้สึกของผู้ใช้งาน มาทำตาม ๆ กันเพื่อไม่ให้รู้สึกถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ให้รู้สึกว่าเราตามเทรนด์ทันอยู่เสมอ นอกจากนี้ มนุษย์มักจะเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นเสมอ เมื่อพบเจอชีวิตของผู้อื่น เราจึงเริ่มมองว่า ชีวิตของพวกเขายิ่งใหญ่กว่าชีวิตของเรา เราเองก็ต้องดีดตัวขึ้นมาให้ทัน แม้ในความจริงแล้วจะทำแบบเดียวกับเขาไม่ได้ การสร้างภาพหลอกลวงจึงทำให้คนขี้อวดรู้สึกสบายใจ
เราทุกคนต่างเคยเผชิญกับความไม่มั่นคงและความไม่เพียงพอในชีวิต สาเหตุอาจเกิดจากความสัมพันธ์หรือที่ทำงาน จากที่เคยเห็นเกิดขึ้นในหลายครั้ง คู่รักลงภาพหวานชื่น ไปเที่ยวสนุกสนานและบอกรักผ่านโซเชียล ท่ามกลางคนรอบตัวที่กดหัวใจแสดงความยินดี แต่อีกไม่กี่วันกลับประกาศเลิกลา โดยให้เหตุผลว่าไม่มีความสุขกันมาระยะหนึ่งแล้ว การโพสต์ลงโซเชียลมีเดียเช่นนี้ ช่วยเติมเต็มเบื้องลึกในใจที่รู้ว่าความสัมพันธ์ของเราแท้จริงแล้วช่างเปราะบางเหลือเกิน
นักจิตวิทยาอธิบายว่า สาเหตุหลักของความไม่มั่นคงคือการขาดความนับถือตนเองและคุณค่าในตนเองของแต่ละบุคคล ดังนั้น เพื่อเอาชนะพฤติกรรมที่เป็นอันตรายเหล่านี้ มนุษย์จำเป็นต้องเปลี่ยนจุดเน้นไปที่การสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง สิ่งสำคัญคือการเน้นย้ำจุดอ่อนและจุดแข็งของตนเอง ชื่นชอบในสิ่งที่เป็นจุดแข็ง ยอมรับในจุดอ่อน และพร้อมแก้ไข หากจุดอ่อนนั้นสร้างปัญหาให้ตัวเอง แทนที่จะใช้สื่อสังคมออนไลน์มาเติมเต็มความไม่มั่นคงนี้ ซึ่งจะเป็นการอุดรูรั่วเรื่อย ๆ ที่ไม่มีวันถูกปิดให้สนิท
ความหลงใหลในสิ่งของที่มีมูลค่าทางวัตถุทำให้เรายอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับสิ่งของเหล่านั้น ทุกวันนี้ เราถูกถาโถมด้วยเนื้อหาบูชาความร่ำรวย มั่งคงบนโซเชียลมีเดีย ยิ่งเป็นการส่งเสริมแนวคิดบริโภคนิยม ความเชื่อที่ว่าการมีสิ่งของมากขึ้นหมายถึงความสำเร็จและความสุข เป็นผลให้เกิดวัฒนธรรมการอวดอ้างสินค้า การตลาดสินค้าอย่างสม่ำเสมอทำให้ผู้คนปรารถนาสิ่งของที่มีมูลค่าทางวัตถุ สิ่งนี้สร้างทัศนคติให้กับมนุษย์ว่าการมีสิ่งของเหล่านี้จะทำให้รู้สึกมีความสุขและสมหวัง ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนยังหลงใหลในการจับจ่ายซื้อของไร้จุดหมายเพียงเพื่ออวดอ้างสินค้าเหล่านั้น
ผู้คนได้สร้างความคิดว่าใครก็ตามที่มีสิ่งของมากกว่าคนอื่นจะเป็นผู้เหนือกว่าและมีอิทธิพลมากกว่า วนคนที่ไม่มีสิ่งของใด ๆ มักเป็นผู้ด้อยกว่าเสมอ ส่งผลให้ผู้คนถูกกดดันให้ต้องเหนือกว่าในสังคม ในทางจิตวิทยาแล้ว การบูชาลัทธิวัตถุนิยมที่เกินพอดีจึงไม่ได้ส่งผลแค่สภาพการเงินของบุคคลนั้น ๆ แต่ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตอีกด้วย