“การศึกษาไทยรั้งท้ายอาเซียน?” ผลการจัดอันดับคุณภาพการศึกษาแต่ละประเทศจาก World Population Review ปี 2024 ที่สร้างความตื่นตกใจผสมท้อแท้ให้คนไทย จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์คุณภาพการศึกษาบนโซเซียลมีเดีย
ผลการจัดอันดับที่ว่าวางประเทศไทยไว้ที่อันดับที่ 107 ของโลกจาก 203 ประเทศ และเป็นอันดับที่ 8 ในอาเซียน มาก่อน 2 ลำดับสุดท้ายคือเมียนมา และกัมพูชา ส่วน 5 ประเทศผู้นำด้านการศึกษาจากการจัดอันดับดังกล่าวคือ เกาหลีใต้ เดามาร์ก เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม และสโลวีเนียตามลำดับ ส่วนอันดับ 1-10 ในอาเซียนคือ สิงคโปร์ บรูไน เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ลาว ไทย เมียนมา และกัมพูชาตามลำดับ
World Population Review คือแหล่งข้อมูลฟรีออนไลน์ที่เริ่มต้นในปี 2013 ให้ข้อมูลเดโมกราฟฟิก เชิงเปรียบเทียบ มีเป้าหมายทำให้ข้อมูลเข้าใจได้ง่ายขึ้นผ่านกราฟ ชาร์ต การวิเคราะห์ หรือการสร้างภาพเพื่อให้เห็นและเข้าใจข้อมูลได้ชัดเจน ทางเว็บไซต์อ้างว่า คณะทำงานคือผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาต่างๆ ที่กระจายอยู่ทั่วโลก สามารถให้ข้อมูลผ่านมุมมองที่หลากหลายและถูกต้องได้ ข้อมูลที่ World Population Review นำเสนอมีตัวอย่างเช่น จำนวนประชาการแต่ละประเทศ อัตราหนี้และ GDP แต่ละประเทศ อันดับประเทศที่กองทัพอากาศใหญ่ที่สุด การทำแท้งในประเทศมุสลิม และอื่นๆ
World Population Review ระบุว่า ผลการจัดอันดับคุณภาพการศึกษาดังกล่าวใช้แหล่งที่มาจาก The annual Best Countries Report ที่จัดทำโดย US News and World Report, BAV Group หรือองค์กรสร้างและพัฒนาแบรนด์ที่ขับเคลื่อนโดยข้อมูล และ the Wharton School of the University of Pennsylvania
เว็บไซต์ชี้ว่า รายงานดังกล่าวสำรวจคนหลายพันคนจาก 78 ประเทศ และทำการจัดอันกับประเทศจากคำตอบของผู้เข้าร่วม ในเรื่องการศึกษา แบบสำรวจวัดคุณภาพจาก 3 ด้านคือ ระบบการศึกษาของรัฐที่พัฒนาอย่างดี การพิจารณาเข้าเรียนมหาวิทยาลัย และการให้การศึกษาคุณภาพสูง
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา รศ.ดร.ประวิตร เอราวรรณ เลขาธิการสภาการศึกษาเผยแพร่ผลการวิเคราะห์ ที่รวบรวมโดยข้าราชการสำนักเลขาธิการสภาการศึกษาผ่านทางเฟซบุ๊กมีใจความว่า ผลการสำรวจของ World Population Review ไม่ได้สะท้อนคุณภาพการศึกษาประเทศไทย
“ผลการจัดอันดับที่ปรากฎจึงไม่ได้สะท้อนคุณภาพของระบบการศึกษาของแต่ละประเทศอย่างแท้จริง เป็นเพียงความเห็นทางด้านการศึกษาจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมากกว่า” ผลวิเคราะห์ชี้
ผลการวิเคราะห์ยังโต้แย้งว่า “เว็บไซต์ดังกล่าวยังมีการให้ข้อมูลทางการศึกษาตัวอื่นที่สะท้อนให้เห็นคุณภาพการศึกษามากกว่าผลการจัดอันกับที่ได้กล่าวมา คือ ข้อมูลสถิติเกี่ยวกับอัตรการรู้หนังสือ (Literacy Rate) (แต่ไม่ปรากฎแหล่งที่มาข้อมูล)” ผลการวิเคราะห์ของรศ.ดร. ประวิตรชี้ว่า หากอิงการจัดอันดับคุณภาพการศึกษาตามอัตราการรู้หนังสือ ประเทศไทยที่มีอัตราดังกล่าวที่ 94 เปอร์เซ็นต์ (ตามข้อมูลปี 2021 ของ World Population Review) ควรจะอยู่ในอันกับที่ 84 จาก 203 ประเทศ และยังให้ข้อมูลแย้งว่า ข้อมูลอัตราการรู้หนังสือของคนไทยของสำนักเลขาธิการสภาการศึกษา ร่วมกับกรมส่งเสริมการเรียนรู้ปี 2568 นั้นอยู่ที่ 99 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งไทยจะถือว่าเป็นอันดับที่ 1 ของอาเซียนและอันดับที่ 23 ของโลก
“ผลการจัดอันกับดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความคิดเห็นต่อระบบการศึกษามากกว่า” ผลการวิเคราะห์สรุป และชี้ว่า ไทยควรทำระบบฐานข้อมูลการศึกษาให้ครบถ้วนสมบูรณ์และเป็นปัจจุบัน เพื่อว่าหากมีการนำข้อมูลไปใช้จัดอันดับ จะทำให้ผลของประเทศไทยดียิ่งขึ้น
การวัดคุณภาพการศึกษาจากสถาบันและลการสำรวจต่างๆ มักใช้เกณฑ์การวัดที่ต่างกัน สิ่งนี้เองที่ทำให้ผลการจัดอันกับต่างๆ ไม่ว่าจะเรียงตามประเทศ มหาวิทยาลัย หรือการแบ่งประเภทอื่นๆ มักมีผลต่างกัน ปัจจัยที่มักถูกนำมาพิจารณาคือคุณภาพของครูผู้สอน สภาพแวดล้อมการเรียน และอื่นๆ ซึ่งก็มักมีเกณฑ์การวัดที่แตกต่างกันไปอีก ทำให้การหาผลการจัดอันกับว่าประเทศไหนดีกว่าที่แน่นอนเป็นไปได้ยาก เราจึงควรทำความเข้าใจปัจจัยที่นำมาพิจารณาให้ชัดเจน
อย่างไรก็ตาม Spotlight ขอหยิบยกข้อมูลจากสหประชาชาติ ที่ตั้ง 10 เป้าหมายเกี่ยวกับการศึกษาที่กล่าวอ้างไว้ว่าจะสร้าง “การศึกษาที่มีคุณภาพ” เพื่อบรรลุเป้าหมายข้อที่ 4 ของ 17 เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน “การศึกษาที่มีคุณภาพ” ได้ เป้าหมายทั้ง 10 ข้อประกอบด้วย:
เป้าหมาย 10 ข้อดังกล่าวเป็นเป้าหมายโดยรวมที่สหประชาชาติตั้งไว้เพื่อให้ทั้งโลกมีการศึกษาที่มีคุณภาพไปด้วยกัน ไม่ได้แยกประเทศและจัดอันกับความเหนือกว่า แต่เน้นความร่วมมือและการให้ความช่วยเหลือในระดับโลก ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของแต่ละประเทศมากกว่าการจัดอันดับ