ในโลกที่กำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ไทยเบฟ ผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มของอาเซียน ประกาศเดินหน้าสู่ยุคใหม่แห่งความยั่งยืน ด้วยแผนงาน PASSION 2030 เพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่การเติบโตอย่างมั่นคง ควบคู่ไปกับการสร้างคุณค่าร่วมกับสังคม PASSION 2030 คือ แผนงาน 5 ปี ที่ต่อยอดความสำเร็จจาก PASSION 2025 โดยมุ่งเน้นการเสริมศักยภาพองค์กรในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการขยายเครือข่ายการกระจายสินค้า การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการบริหารจัดการบุคลากร เพื่อสร้างความแข็งแกร่ง และความได้เปรียบในการแข่งขัน พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำในระดับภูมิภาค
บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกถึงรายละเอียดของแผนงาน PASSION 2030 กลยุทธ์สำคัญในการดำเนินธุรกิจของไทยเบฟ ผลการดำเนินงานที่โดดเด่น ความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืน และการสร้างคุณค่าร่วมกับสังคม เพื่อให้คุณเข้าใจถึงวิสัยทัศน์ และพันธกิจขององค์กร ที่มุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มของอาเซียน
กรุงเทพฯ ประเทศไทย วันที่ 1 ตุลาคม 2567 – ไทยเบฟเวอเรจ ประกาศแผนงาน PASSION 2030 สานต่อความสำเร็จจาก PASSION 2025 โดยมุ่งเสริมความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในอาเซียน พร้อมขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนในอีก 5 ปีข้างหน้า
นายฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เผยว่า ไทยเบฟประสบความสำเร็จในการเสริมสร้างศักยภาพ ตอกย้ำความแข็งแกร่งของแบรนด์และส่วนแบ่งทางการตลาด พร้อมดึงศักยภาพขององค์กรมาสร้างมูลค่าเพิ่มในทุกมิติ แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ แต่ด้วยรากฐานที่มั่นคง ควบคู่กับการบริหารจัดการต้นทุนและความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ไทยเบฟสามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ และสร้างผลการดำเนินงานที่ดีได้อย่างต่อเนื่องตลอด 9 เดือนแรกของปี 2567
"วันนี้เรากำลังก้าวไปข้างหน้า โดยใช้จุดแข็งและความสามารถหลักของเราเป็นแรงขับเคลื่อน เพื่อสร้างการเติบโตและมูลค่าเพิ่มให้มากกว่าที่เคย" นายฐาปน กล่าว ด้วยพันธกิจ "สร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต" ไทยเบฟจึงมุ่งมั่นสู่ PASSION 2030 แผนงานที่จะนำพาองค์กรสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอีก 5 ปีข้างหน้า
กลุ่มบริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนาประสิทธิภาพในการส่งมอบสินค้าและบริการ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุมในทุกช่องทางการจัดจำหน่าย โดยอาศัยเครือข่ายการกระจายสินค้าที่แข็งแกร่ง ครอบคลุมทุกพื้นที่ และเชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ ด้วยศักยภาพที่โดดเด่นทั้งในด้านการบริหารต้นทุนและการส่งมอบบริการคุณภาพ เพื่อเสริมสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยกลยุทธ์ Digital for Growth กลุ่มบริษัทฯ มุ่งมั่นนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการดำเนินธุรกิจอย่างบูรณาการ ครอบคลุมมิติต่างๆ อาทิ ระบบขายอัตโนมัติ (sales automation) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ยกระดับความคล่องตัว และเสริมสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ตลอดจนพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลอันทันสมัย เพื่อตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิทัล และรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต
ด้านความคืบหน้าในการรวมธุรกิจกับ F&N ในที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2567 มีมติอนุมัติการทำธุรกรรมแลกหุ้นระหว่าง บริษัท อินเตอร์เบฟ อินเวสท์เม้นท์ ลิมิเต็ด (“IBIL”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ไทยเบฟถือหุ้นโดยอ้อมทั้งหมด กับ บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ทส์ ลิมิเต็ด (“TCCAL”) โดย IBIL จะดำเนินการโอนหุ้นทั้งหมดร้อยละ 28.78 ที่ถืออยู่ใน บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด (“FPL”) ให้แก่ TCCAL และ TCCAL จะดำเนินการโอนหุ้นร้อยละ 41.30 ที่ถืออยู่ใน บริษัท เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ, ลิมิเต็ด (“F&N”) ให้แก่ IBIL
การทำธุรกรรมดังกล่าวส่งผลให้ IBIL มีสัดส่วนการถือหุ้นใน F&N เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 69.61 โดยกลุ่มบริษัทฯ มุ่งเน้นการผนวกรวมธุรกิจและการดำเนินงานของ F&N เข้ากับไทยเบฟ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพและความแข็งแกร่งในการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์และผลิตภัณฑ์นม ทั้งนี้ การผนึกกำลังร่วมกันดังกล่าวยังนำมาซึ่งประโยชน์จาก Synergy และเพิ่มพูนโอกาสในการสร้างรายได้ รวมถึงขยายฐานตลาดให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายยิ่งขึ้น
ผลการดำเนินงาน ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 217,055 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 38,595 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจเบียร์และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์
ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2567 ธุรกิจสุราประสบภาวะชะลอตัวอันเนื่องมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค ส่งผลให้รายได้จากการขายลดลงเล็กน้อยร้อยละ 0.9 คิดเป็นมูลค่า 92,788 ล้านบาท และกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ลดลงร้อยละ 1.3 สืบเนื่องจากปริมาณขายที่ลดลงร้อยละ 2.7 อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการในภาพรวมยังคงได้รับแรงสนับสนุนจากการดำเนินงานในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเมียนมา ซึ่งยังคงแสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตที่แข็งแกร่ง และมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านรายได้และกำไร
นายประภากร ทองเทพไพโรจน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่และผู้บริหารสูงสุดปฏิบัติการต่างประเทศ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจสุรา และผู้บริหารสูงสุด การเงินและบัญชีกลุ่ม กล่าวถึงกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจว่า "เรามุ่งเน้นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์หลักในประเทศไทย อาทิ รวงข้าว หงส์ทอง แสงโสม และเบลนด์ 285 ผ่านกลยุทธ์การตลาดเชิงรุก ที่มุ่งสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้บริโภค พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด และรักษาความเป็นผู้นำทั้งในตลาดสุราขาวและสุราสี"
การยกระดับสุราไทยสู่เวทีโลกด้วย 'ปราการ' ด้วยวิสัยทัศน์ในการผลักดันสุราไทยสู่ระดับสากล ไทยเบฟจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง โดยนำเสนอผ่านแบรนด์หลักอย่าง แสงโสม แม่โขง พระยา รัม และรวงข้าว สยาม แซฟไฟร์ และเพื่อเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นดังกล่าว ไทยเบฟได้เปิดตัว PRAKAAN (ปราการ) ซิงเกิลมอลต์วิสกี้ระดับพรีเมียมแบรนด์แรกของไทย เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2567 นับเป็นการบุกเบิกตลาดวิสกี้ระดับโลก โดยมุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบน ที่ชื่นชอบวิสกี้ประเภท New World ทั้งในประเทศไทย สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี และญี่ปุ่น
การขยายฐานธุรกิจในต่างประเทศ ในตลาดต่างประเทศ ไทยเบฟให้ความสำคัญกับการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม อาทิ วิสกี้จากสกอตแลนด์ คอนญักจากฝรั่งเศส วิสกี้จากนิวซีแลนด์ รวมถึงซิงเกิล มอลต์ วิสกี้และรัมระดับพรีเมียมจากประเทศไทย พร้อมวางแผนขยายกำลังการผลิตในนิวซีแลนด์ เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ในขณะเดียวกัน แกรนด์ รอยัล วิสกี้ ยังคงครองส่วนแบ่งทางการตลาดอันดับหนึ่งในประเทศเมียนมา แม้เผชิญกับสภาวะการแข่งขันที่รุนแรง
ความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ กลุ่มธุรกิจสุราให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นการใช้พลังงานทดแทน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ ผ่านโครงการต่างๆ อาทิ การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในโรงงาน การนำวัสดุเหลือใช้จากกระบวนการผลิตมาผลิตเป็นพลังงานชีวภาพ และการปรับปรุงประสิทธิภาพของกระบวนการล้างขวดแก้ว เพื่อลดการใช้น้ำ
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ธุรกิจเบียร์ของไทยเบฟมีผลประกอบการที่น่าพอใจ โดยกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA) เติบโตขึ้นถึงร้อยละ 10.2 แม้ปริมาณขายรวมจะลดลงร้อยละ 2.9 โดยมีรายได้จากการขายอยู่ที่ 93,793 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 ซึ่งเป็นผลมาจากการลงทุนอย่างต่อเนื่องในกิจกรรมทางการตลาดและการสร้างแบรนด์ ควบคู่กับการบริหารจัดการต้นทุนด้านวัตถุดิบ บรรจุภัณฑ์ และกระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ
นายไมเคิล ไชน์ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเบียร์ กล่าวว่า “เรามีความยินดีที่ธุรกิจเบียร์ในประเทศไทยมีปริมาณขายเติบโตขึ้นอย่างน่าพอใจ โดยเฉพาะในช่วงกลางปี 2567 ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น”
ความท้าทายในเวียดนามและโอกาสในกัมพูชา สำหรับธุรกิจเบียร์ในเวียดนามยังคงเผชิญกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงผลกระทบจากกฎหมายควบคุมการดื่มแล้วขับ อย่างไรก็ตาม ไทยเบฟยังคงมองเห็นโอกาสในการเติบโต โดยการขยายธุรกิจไปยังประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นตลาดเบียร์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของอาเซียน และมีอัตราการเติบโตสูง ด้วยปริมาณการบริโภคเบียร์ประมาณ 10 ล้านเฮกโตลิตรต่อปี
“เรามีความมั่นใจในศักยภาพของตลาดกัมพูชา และได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างโรงงานผลิตเบียร์แห่งใหม่ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการผลิตในช่วงต้นปี 2569 ด้วยกำลังการผลิตเริ่มต้น 50 ล้านลิตร” นายไมเคิลกล่าว
การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต “เรายังคงมุ่งมั่นในการดำเนินกลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโตในตลาดหลัก พร้อมกับการบริหารความเสี่ยง โดยตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสร้างผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน” นายไมเคิลกล่าวเสริม
นายทรงวิทย์ ศรีธรรม ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเบียร์ประเทศไทย เผยถึงความมุ่งมั่นในการผลักดัน "เบียร์ช้าง" สู่ตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดเบียร์ประเทศไทย โดยได้กำหนด 6 กลยุทธ์หลัก เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้แข็งแกร่ง ครอบคลุมทุกมิติ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ดังนี้
1.เสริมแกร่งความเป็นผู้นำ (Strengthen Leadership)
2.ยกระดับกลุ่มผลิตภัณฑ์ (Portfolio Premiumization)
3.พัฒนาความเป็นเลิศด้านการดำเนินงาน (Operational Excellence)
4.ใช้เทคโนโลยีเพื่อการเปลี่ยนแปลง (Technological Transformation)
5.การลงทุนด้านทรัพยากรบุคคล (People Investment)
6.ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability)
นายเลสเตอร์ ตัน เต็ก ชวน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของซาเบโก้ เผยว่า Bia Saigon ยังคงครองความเป็นเบียร์อันดับหนึ่งในเวียดนาม โดยบริษัทเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่ง ผ่านการขยายเครือข่ายการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในหัวเมืองต่างจังหวัด ควบคู่กับการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดของทีมขาย เพื่อให้มั่นใจว่าการใช้จ่ายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
เพื่อรองรับการฟื้นตัวของตลาด ซาเบโก้ได้พัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมุ่งเน้น 3 ด้านหลัก ได้แก่ ความเป็นเลิศด้านการค้า (Commercial Excellence) ประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Efficiency) และการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)
1.ความเป็นเลิศด้านการค้า (Commercial Excellence)
2.ประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Efficiency)
3.สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)
ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทยเบฟ เติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 โดยมีรายได้จากการขายสูงถึง 15,553 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.3 สะท้อนถึงความสำเร็จของกลยุทธ์ทางการตลาด และการขยายช่องทางการจัดจำหน่าย นอกจากนี้ บริษัทยังมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 1,817 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 จากการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตและบรรจุภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพ
นายโฆษิต สุขสิงห์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่และผู้บริหารสูงสุดปฏิบัติการประเทศไทย ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานดิจิทัลและเทคโนโลยี กล่าวว่า "เรามุ่งมั่นพัฒนาเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างครอบคลุม"
ผนึกกำลังธุรกิจ เสริมความแข็งแกร่ง "เรามีแผนรวมธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน โดยได้นำหุ้นของโออิชิออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และอยู่ระหว่างการนำหุ้นของเสริมสุขออกจากตลาด รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน F&N ผ่านการแลกเปลี่ยนหุ้นกับ TCCAL ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทาน" นายโฆษิตกล่าวเสริม
ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทยเบฟ ดำเนินงานภายใต้แนวคิด "เติบโตอย่างยั่งยืน มุ่งสู่อนาคตยุคดิจิทัล" โดยมี 3 กลยุทธ์หลัก ดังนี้
1.ตราสินค้าและการเข้าถึง (Brand & Reach)
2.ความเป็นเลิศด้านการผลิตและห่วงโซ่อุปทาน (Production & Supply Chain Excellence)
3.ความยั่งยืน (Sustainability)
แม้เผชิญกับต้นทุนวัตถุดิบและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูงขึ้น แต่ธุรกิจอาหารของไทยเบฟยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 มีรายได้จากการขาย 15,022 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่กำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 1,438 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 0.6
นายโสภณ ราชรักษา ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานทรัพยากรบุคคลและสมรรถนะองค์กร ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหารประเทศไทย และผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจโลจิสติกส์ กล่าวว่า "เรามุ่งเน้นขยายธุรกิจ โดยเปิดสาขาใหม่ในหลากหลายรูปแบบ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น รวมถึงนำเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งช่วยลดผลกระทบจากต้นทุนค่าใช้จ่ายได้"
1.ขยายสาขา เพิ่มการเข้าถึง
2.ยกระดับประสบการณ์ กระตุ้นยอดขาย
3.เสริมศักยภาพ เพิ่มประสิทธิภาพ
4.มุ่งมั่น เพื่อความยั่งยืน
ในบริบทโลกปัจจุบัน ที่เต็มไปด้วยความท้าทายด้านภูมิรัฐศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไทยเบฟตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยยึดมั่นในพันธกิจ "สร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต" ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)
นางต้องใจ ธนะชานันท์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานความยั่งยืนและกลยุทธ์ กล่าวว่า "ในฐานะองค์กรธุรกิจชั้นนำ ไทยเบฟตระหนักถึงบทบาทในการเป็นแบบอย่าง โดยมุ่งเน้นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับหลัก ESG เพื่อสร้างคุณค่าร่วมกับสังคม และขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน"
การบูรณาการหลักปรัชญา สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ไทยเบฟน้อมนำพระปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาเป็นรากฐานในการดำเนินงาน โดยผสานเข้ากับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (SDGs) เพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี พ.ศ. 2583
ผลลัพธ์แห่งความมุ่งมั่นสู่ความยั่งยืน ในปี พ.ศ. 2566 ไทยเบฟได้ดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน โดยมีผลลัพธ์ที่สำคัญ ดังนี้
รางวัลและการยอมรับในระดับสากล
ความสำเร็จเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของไทยเบฟ ในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสังคม ควบคู่ไปกับการสร้างคุณค่า และการเติบโตทางธุรกิจ
ไทยเบฟ ยกระดับองค์กรสู่ความเป็นเลิศ มุ่งเน้นการพัฒนาทรัพยากรบุคคล
นายโสภณ ราชรักษา ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานทรัพยากรบุคคลและสมรรถนะองค์กร ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหารประเทศไทย และผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจโลจิสติกส์ กล่าวว่า "ไทยเบฟมุ่งมั่นสู่การเป็นองค์กรชั้นนำที่น่าทำงานที่สุด โดยให้ความสำคัญกับการสร้างความผูกพัน และส่งเสริมศักยภาพของพนักงาน เพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่ความเป็นเลิศ และความยั่งยืนในระดับภูมิภาค"
เสริมสร้างศักยภาพ ปลดล็อคขีดจำกัด พัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ไทยเบฟตระหนักว่า ทรัพยากรบุคคลเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุด จึงมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพของพนักงาน โดย
กลุ่มงานทรัพยากรบุคคล ประสานความร่วมมือกับทุกหน่วยงานในองค์กร เพื่อสนับสนุนกลยุทธ์ และสร้างความเป็นเอกภาพ โดย
ความมุ่งมั่นในการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ส่งผลให้ไทยเบฟได้รับรางวัล HR Excellence ประจำปี 2567 ดังนี้
รางวัลระดับ Gold
รางวัลระดับ Silver
ไทยเบฟยึดมั่นในความปลอดภัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ที่ได้มาตรฐาน โดย
จากวิสัยทัศน์ที่มุ่งสู่การเป็นผู้นำอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในอาเซียน ไทยเบฟตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการสร้างคุณค่าให้แก่สังคมและประเทศชาติ ดังนั้น บริษัทฯ จึงได้ประกาศแผนงาน PASSION 2030 เพื่อเป็นกรอบในการดำเนินงาน และขับเคลื่อนองค์กรสู่ความสำเร็จในระยะยาว
PASSION 2030 นับเป็นความต่อเนื่องในการยกระดับองค์กร โดยต่อยอดจาก PASSION 2025 ซึ่งประสบความสำเร็จในการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง แผนงานนี้ครอบคลุมกลยุทธ์เชิงรุกในหลายมิติ อาทิ การเสริมสร้างศักยภาพของเครือข่ายการกระจายสินค้า การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด และการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเสริมสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน และนำพาไทยเบฟสู่การเป็นผู้นำในระดับภูมิภาค
บทความนี้ได้นำเสนอรายละเอียดของแผนงาน PASSION 2030 พร้อมทั้งเจาะลึกถึงกลยุทธ์สำคัญในการดำเนินธุรกิจของไทยเบฟ ไม่ว่าจะเป็นการขยายธุรกิจในกลุ่มสุรา เบียร์ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และอาหาร นอกจากนี้ ยังได้นำเสนอผลการดำเนินงานที่โดดเด่น ความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล รวมถึงการสร้างคุณค่าร่วมกับสังคม เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ และพันธกิจขององค์กร ที่มุ่งสู่การเป็นผู้นำอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มของอาเซียน อย่างยั่งยืน และมั่นคง