แม้ประเทศไทยจะได้รับการขนานนามว่าเป็น "ครัวของโลก" ด้วยศักยภาพในการส่งออกอาหารไปยังนานาประเทศ แต่ในความเป็นจริง หลายพื้นที่ในประเทศไทยยังคงเผชิญกับปัญหาความมั่นคงทางอาหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งในด้านภาวะทุพโภชนาการและการขาดแคลนสารอาหาร อีกทั้งเกษตรกรรายย่อยจำนวนมากยังต้องพึ่งพาพันธุ์พืชและสัตว์จากต่างประเทศหรือบริษัทขนาดใหญ่
ผศ. ดร. พงค์เทพ สุธีรวุฒิ รองอธิการบดีฝ่ายบริหารและยุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เล็งเห็นความสำคัญของปัญหาดังกล่าว จึงได้เชิญชวนผู้สนใจร่วมเสวนาในหัวข้อ “ความมั่นคงทางอาหารของภาคใต้” ณ เวที Talk Stage งาน SUSTAINABILITY EXPO 2024 ในวันที่ 1 ตุลาคม 2024 โดยจะนำเสนอแนวทางการเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารของภาคใต้ตามแนวทาง BCG Model และการทำเกษตรแบบยั่งยืน พร้อมยกตัวอย่างโครงการนำร่องที่ช่วยให้เกษตรกรในภาคใต้สามารถพึ่งพาตนเองได้ มีรายได้เพิ่มขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
ดร. พงค์เทพ สุธีรวุฒิ ชี้ให้เห็นว่าแม้ประเทศไทยจะได้รับการจัดอันดับที่ 45 จาก 167 ประเทศใน SDG Index 2024 และมีความโดดเด่นในการแก้ปัญหาความยากจนและพัฒนาการศึกษา แต่ในด้านความมั่นคงทางอาหาร ประเทศไทยยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นของการมีอาหารเพียงพอและการเข้าถึงอาหารอย่างเท่าเทียม
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นภาพความเหลื่อมล้ำทางอาหารได้อย่างชัดเจน ขณะที่คนเมืองจำนวนมากต้องดิ้นรนหาแหล่งอาหาร กลับกัน คนในชนบทซึ่งมีฐานการผลิตอาหารเป็นของตนเองกลับสามารถพึ่งพาตนเองได้
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังขาดเสถียรภาพหรืออธิปไตยทางอาหารอย่างแท้จริง เกษตรกรรายย่อยจำนวนมากตกอยู่ภายใต้ “เกษตรพันธสัญญา” ที่ต้องพึ่งพาเมล็ดพันธุ์ สัตว์ ปุ๋ย และยาจากนายทุนหรือบริษัทขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาภาคการเกษตรของประเทศในระยะยาว
ปัญหาความมั่นคงทางอาหารในภาคใต้มีความซับซ้อนยิ่งกว่าภูมิภาคอื่น ๆ แม้ภาคใต้จะมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ แต่พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการปลูกยางพาราและปาล์มน้ำมัน ส่งผลให้กำลังการผลิตอาหารในพื้นที่คิดเป็นเพียงร้อยละ 10 ของความต้องการ ขณะที่ชาวประมงจับสัตว์น้ำคุณภาพสูงเพื่อส่งขาย แต่กลับต้องซื้ออาหารชนิดอื่นบริโภค สะท้อนให้เห็นถึงความไม่สมดุลในการผลิตและการบริโภคอาหาร
ยิ่งไปกว่านั้น ผลสำรวจยังพบว่า เด็กในภาคใต้มีค่าเฉลี่ยความสูงและ IQ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะทุพโภชนาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัยตั้งครรภ์และ 1-4 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญของการพัฒนาสมอง
การสร้างความมั่นคงทางอาหารต้องอาศัยมากกว่าแค่การให้ความรู้ เพราะแม้เราจะทราบดีว่าอาหารที่ดีต่อสุขภาพควรมีลักษณะอย่างไร แต่ปัจจัยแวดล้อม เช่น วิถีชีวิต เศรษฐกิจ และสังคม ล้วนมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการบริโภคของเรา
ตัวอย่างเช่น แม้ผู้ปกครองส่วนใหญ่จะตระหนักถึงความสำคัญของอาหารเช้า และเข้าใจหลักโภชนาการ แต่ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา งบประมาณ และความสะดวกสบาย อาหารเช้าของเด็ก ๆ หลายคนจึงวนเวียนอยู่กับข้าวเหนียวหมูปิ้ง ขนมปัง หรืออาหารสำเร็จรูปที่หาซื้อได้ง่ายตามร้านค้า
เมื่อกลับถึงบ้าน เด็ก ๆ ก็มักจะได้รับขนมหวาน น้ำอัดลม และของขบเคี้ยว ซึ่งล้วนเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูงแต่มีคุณค่าทางโภชนาการต่ำ สภาพแวดล้อมเช่นนี้ ย่อมไม่เอื้อต่อการสร้างพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ดี และส่งผลเสียต่อสุขภาพของเด็กในระยะยาว
ดังนั้น การแก้ไขปัญหาความมั่นคงทางอาหารจึงต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบ โดยคำนึงถึงปัจจัยแวดล้อมในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับปัจเจกบุคคล ครอบครัว ชุมชน ไปจนถึงระดับประเทศ เพื่อสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืน ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และเพียงพอต่อความต้องการ
ด้วยตระหนักถึงสถานการณ์ปัญหาความมั่นคงทางอาหารในภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้ผนึกกำลังร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และองค์กรภาคีเครือข่าย จัดตั้ง “สถาบันขั้นสูงเพื่อความมั่นคงทางอาหาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางการขับเคลื่อนงานวิจัย พัฒนา และเผยแพร่องค์ความรู้ด้านความมั่นคงทางอาหารในระดับภูมิภาค มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืนภายใต้กรอบแนวคิด BCG Economy Model
สถาบันฯ ดำเนินงานโครงการพัฒนาพื้นที่ทุ่งใสไซให้เป็นพื้นที่ต้นแบบด้านความมั่นคงทางอาหาร โดยผสานองค์ความรู้จากหลากหลายศาสตร์ ครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการ ต้นน้ำ อาทิ การพัฒนาสายพันธุ์พืชและสัตว์โดยใช้เทคโนโลยี Embryo Transfer ซึ่งเป็นเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง กระบวนการ กลางน้ำ เช่น การส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการฟาร์มอย่างมีประสิทธิภาพ และกระบวนการ ปลายน้ำ เช่น การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร และการพัฒนาพลังงานทางเลือก
ยิ่งไปกว่านั้น สถาบันฯ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพบุคลากร โดยจัดการฝึกอบรมและหลักสูตรพัฒนาความรู้แก่ นักศึกษา นักวิชาการ เกษตรกร และประชาชนในชุมชน เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและทักษะที่จำเป็นต่อการผลิตอาหารให้ได้มาตรฐาน ปลอดภัย และเพียงพอต่อความต้องการของท้องถิ่น รวมถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลผลิต และขยายโอกาสทางการตลาดสู่ระดับนานาชาติ
เพื่อต่อยอดแนวคิด สถาบันขั้นสูงเพื่อความมั่นคงทางอาหาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เล็งเห็นถึงศักยภาพของภาคเกษตรกรรมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพัฒนา "สวนยางยั่งยืน" ภายใต้กรอบแนวคิด BCG Economy Model ซึ่งเป็นการบูรณาการหลักการทางเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว เข้ากับการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ
ความร่วมมือระหว่างสถาบันฯ และการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) มุ่งเน้นการส่งเสริมให้เกษตรกรชาวสวนยาง ปรับเปลี่ยนรูปแบบการเพาะปลูกจาก Monoculture หรือการปลูกพืชเชิงเดี่ยว สู่ Polyculture หรือการปลูกพืชแบบผสมผสาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปลูก "พืชร่วมยาง" ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจ พืชอาหาร หรือสมุนไพร ที่สามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาพร่มเงาของต้นยางพารา เช่น กาแฟ โกโก้ พริกไทย กล้วย มะละกอ และฟ้าทะลายโจร
นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการ บูรณาการระบบการปศุสัตว์ เข้ากับสวนยาง โดยการเลี้ยงสัตว์หลากหลายชนิด เช่น ไก่ เป็ด ปลา หมู และแพะ เพื่อสร้างรายได้เสริม ใช้ประโยชน์จากมูลสัตว์ในการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่
ผลการวิเคราะห์เชิงเศรษฐศาสตร์ บ่งชี้ว่า สวนยางยั่งยืนที่บริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรสูงกว่าการปลูกยางพาราเชิงเดี่ยว ก่อให้เกิด "เศรษฐกิจหมุนเวียน" ในระดับครัวเรือน และลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาพืชผลทางการเกษตร กยท. ได้นำผลการศึกษาดังกล่าวไปขยายผลในเชิงนโยบาย เพื่อผลักดันให้เกษตรกรชาวสวนยาง นำแนวคิดสวนยางยั่งยืนไปประยุกต์ใช้ อันจะนำไปสู่ "การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก" ของประเทศอย่างยั่งยืน
"สวนยางยั่งยืน"ภายใต้แนวคิด BCG Economy Model ไม่ใช่เพียงแค่ "ทางรอด" ของเกษตรกรชาวสวนยางแต่คือ "รากฐาน" สำคัญในการสร้าง "ความมั่นคงทางอาหาร" "ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ" และ "ความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม" ให้กับภาคใต้และประเทศไทย
การผสานองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เข้ากับภูมิปัญญาท้องถิ่น การบริหารจัดการทรัพยากรอย่างชาญฉลาดและความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจะช่วย "ปลดล็อก" ภาคใต้จาก "กับดัก" การเกษตรเชิงเดี่ยว สู่ระบบอาหารที่ยั่งยืนที่ "ทุกคนได้รับประโยชน์" อย่างแท้จริง
ถึงเวลาแล้วที่เราต้องร่วมมือกัน "ปลุกพลัง" สวนยางยั่งยืนเพื่อสร้าง "ความมั่นคงทางอาหาร" "ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ" และ "ความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม" ให้กับประเทศไทยสืบไป