ท่านทราบหรือไม่ว่า ภาวะ "ฟันผุ" ที่หลายท่านอาจมองว่าเป็นเพียงปัญหาเล็กน้อย กลับสามารถนำไปสู่ภัยร้ายแรงต่อ "สุขภาพหัวใจ" ได้? ข้อมูลอันน่าตื่นตะลึงนี้ได้รับการเปิดเผย ณ เวทีเสวนา "Work-Life Balance อย่างไรหัวใจไม่พัง" ภายในงาน SUSTAINABILITY EXPO 2024 มหกรรมความยั่งยืนแห่งอาเซียน โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจจากโรงพยาบาลเมดพาร์ค ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพช่องปากควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพหัวใจ พร้อมทั้งเผย "คาถาป้องกันโรคหัวใจ" อันได้แก่ การดูแลฟันให้แข็งแรง หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง และการดูแลรักษาบาดแผลอย่างถูกวิธี ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพหัวใจโดยตรง
ในงาน SUSTAINABILITY EXPO 2024 มหกรรมความยั่งยืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน ได้มีการจัดเวทีเสวนาในหัวข้อที่น่าสนใจ "Work-Life Balance อย่างไรหัวใจไม่พัง" ซึ่งได้รับเกียรติจาก นพ.สุพิชฌาย์ วงศ์มณี ศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอก และ พญ.ศนิสรา จันทรจำนง อายุรแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือด จากโรงพยาบาลเมดพาร์ค มาร่วมให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพหัวใจในยุคปัจจุบัน
โดยนอกเหนือจากแนวทางการดูแลสุขภาพหัวใจแบบองค์รวม ด้วยสูตร 3 อ. อันได้แก่ อาหาร อารมณ์ และการออกกำลังกาย ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีแล้ว แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองท่านยังได้เผย "คาถาป้องกันโรคหัวใจ" ที่อาจฟังดูแปลกใหม่ แต่เป็นสิ่งสำคัญที่หลายคนมองข้าม นั่นคือ "ฟันไม่ผุ ไม่สัก รักษาแผลให้เร็ว" ซึ่งหลักปฏิบัติง่ายๆ เหล่านี้อาจดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับสุขภาพหัวใจโดยตรง แต่ในความเป็นจริงแล้วมีผลต่อสุขภาพหัวใจมากกว่าที่คาดคิด โดยท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเชื่อมโยงดังกล่าวได้จากแหล่งข้อมูลทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้
จากเวทีเสวนา ประเด็นที่ได้รับความสนใจจากผู้ร่วมงานอย่างมาก คือ เรื่องของ "โรคหัวใจที่เกิดจากการติดเชื้อในกระแสเลือด" ซึ่ง นพ.สุพิชฌาย์ ได้ให้ความรู้ว่า การติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจเป็นปัญหาสำคัญ โดยเชื้อโรคจะทำให้ลิ้นหัวใจปิดไม่สนิท ส่งผลให้หัวใจทำงานหนักขึ้น และอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจวายในที่สุด นอกจากนี้ เชื้อโรคที่เกาะกลุ่มกันเป็นก้อนบนลิ้นหัวใจยังสามารถหลุดลอยไปตามกระแสเลือด และอุดตันเส้นเลือดในอวัยวะสำคัญอื่นๆ เช่น สมอง ไต หรือแม้กระทั่งตับ ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะตับอักเสบได้
"สาเหตุสำคัญของการติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจ มักเกิดจากปัญหาสุขภาพช่องปาก เช่น ฟันผุ ซึ่งเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค และสามารถแพร่กระจายไปยังหัวใจได้ง่าย นอกจากนี้ การสักตามร่างกาย โดยเฉพาะการใช้เข็มที่ไม่สะอาด ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยง เนื่องจากผิวหนังมีเส้นเลือดฝอยจำนวนมาก เชื้อโรคจึงสามารถเข้าสู่กระแสเลือดและเดินทางไปยังหัวใจได้อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับบาดแผลต่างๆ หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา อาจเกิดการอักเสบและติดเชื้อ ซึ่งส่งผลเสียต่อหัวใจในระยะยาว" นพ.สุพิชฌาย์ กล่าว
ด้าน พญ.ศนิสรา ได้เสริมข้อมูลเพิ่มเติมว่า "เชื้อโรคที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจมีหลากหลายชนิด ทั้งแบคทีเรียและไวรัส ซึ่งการรักษาในแต่ละชนิด มีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะเชื้อไวรัส ปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถฆ่าเชื้อได้โดยตรง ดังนั้น หากตรวจพบว่าผู้ป่วยมีภาวะหัวใจติดเชื้อ แพทย์จะเน้นการควบคุม เพื่อจำกัดขอบเขตการทำลายของเชื้อโรค และดูแลระบบหัวใจและหลอดเลือดให้ทำงานได้อย่างปกติ"
นอกจากนี้ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองท่านยังสะท้อนถึงสถานการณ์ที่น่ากังวล คือ แนวโน้มของผู้ป่วยโรคหัวใจที่มีอายุน้อยลง โดย นพ.สุพิชฌาย์ เคยผ่าตัดทำบายพาสหัวใจให้กับผู้ป่วยอายุเพียง 32 ปี ขณะที่ พญ.ศนิสรา พบผู้ป่วยโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะที่มีอายุน้อยที่สุดเพียง 10 ปี ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ เป็นสัญญาณเตือนให้คนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพหัวใจ ตั้งแต่อายุยังน้อย
พญ.ศนิสรา ได้อธิบายถึงความซับซ้อนของโรคหัวใจ ซึ่งเกี่ยวข้องกับหลายระบบ เช่น การบีบตัวของหัวใจ การนำไฟฟ้า หลอดเลือดหัวใจ และกล้ามเนื้อหัวใจ โดยแต่ละโรค แต่ละอาการ ล้วนมีสาเหตุและช่วงอายุของผู้ป่วยที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของระบบการนำไฟฟ้า มักพบได้บ่อยใน 2 ช่วงวัย คือ วัยรุ่นและผู้สูงอายุ
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่เร่งให้เกิดโรคหัวใจ หรือกระตุ้นให้โรคปรากฏเร็วขึ้น คือ "ไลฟ์สไตล์" และ "พฤติกรรมการบริโภค" โดยวิถีชีวิตที่เร่งรีบในปัจจุบัน ทำให้หลายคนเลือกบริโภคอาหารนอกบ้าน ซึ่งมักมีตัวเลือกที่จำกัด ประกอบกับเทรนด์อาหารและเครื่องดื่มที่เน้นรสชาติ แต่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง โดยเฉพาะชาไข่มุก ซึ่งมีส่วนประกอบของแป้งที่เปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้ อาหารปิ้งย่าง ของทอดที่ใช้น้ำมันซ้ำ และขนมขบเคี้ยวที่มีปริมาณเกลือสูง ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน และไขมันในเลือดสูง ซึ่ง 3 โรคนี้เปรียบเสมือน "เพื่อนสนิท" ที่เมื่อมาพร้อมกัน มักจะนำพา "โรคหัวใจ" มาด้วยเสมอ
"อาหารที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ คือ อาหารรสจืด ไม่ปรุงแต่ง และหลีกเลี่ยงน้ำซุป" พญ.ศนิสรา กล่าว "แม้ในวัยหนุ่มสาว ระบบการเผาผลาญยังทำงานได้ดี อาจยังไม่เห็นผลกระทบจากพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ดี แต่เมื่ออายุมากขึ้น ความเสี่ยงในการเกิดโรคจะเพิ่มสูงขึ้น โดยทั่วไป การรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่ดีต่อสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ประมาณ 10 ปี จะเริ่มแสดงอาการ แต่ในปัจจุบัน ระยะเวลาอาจสั้นลงกว่านั้น" พญ.ศนิสรา เสริม
สำหรับสัญญาณเตือนของโรคหัวใจ บางรายอาจไม่แสดงอาการใดๆ แต่บางรายอาจมีอาการแน่นหน้าอก ปวดร้าวไปที่แขน เหนื่อยง่าย เหงื่อแตก ใจสั่น ซึ่งอาการเหล่านี้ บ่งชี้ว่า อาจมีไขมันสะสมในหลอดเลือด 50 - 70% แล้ว "การตรวจสุขภาพเป็นประจำ การดูแลตัวเอง และการสร้างสมดุลในชีวิต เป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ" พญ.ศนิสรา กล่าวทิ้งท้าย
จากข้อมูลที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจได้ให้ไว้ ทำให้เห็นว่าการดูแลสุขภาพหัวใจเป็นเรื่องที่เราทุกคนต้องใส่ใจ ไม่ใช่แค่การดูแลตัวเองแบบผิวเผิน แต่ต้องลงลึกถึงรายละเอียด เริ่มตั้งแต่การดูแลสุขภาพช่องปากให้สะอาด ฟันไม่ผุ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างการสัก รวมถึงการดูแลรักษาบาดแผลต่างๆ อย่างถูกวิธี เพื่อไม่ให้เป็นช่องทางให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย
นอกจากนี้ การเลือกรับประทานอาหารก็เป็นสิ่งสำคัญ อาหารรสจัด อาหารแปรรูป เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง ล้วนเป็นตัวการสำคัญที่ทำร้ายสุขภาพหัวใจ แม้ในวัยหนุ่มสาวที่ระบบเผาผลาญยังทำงานได้ดี อาจยังไม่เห็นผลกระทบชัดเจน แต่การสะสมพฤติกรรมการกินที่ไม่ดีต่อเนื่องเป็นเวลานาน ย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวอย่างแน่นอน
ดังนั้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน หันมาใส่ใจสุขภาพ เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และหมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำ คือหัวใจสำคัญในการสร้างสมดุลชีวิต (Work-Life Balance) และลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ เพื่อให้เรามีสุขภาพหัวใจที่แข็งแรง พร้อมรับมือกับทุกบททดสอบของชีวิตอย่างยั่งยืน