กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุในจดหมายแจ้งเตือนถึงรัฐสภาว่า แฮกเกอร์ในจีนได้เจาะเข้าระบบการทำงานของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ และขโมยเอกสารบางฉบับซึ่งไม่เป็นความลับและเรียกการคุกคามครั้งนี้ว่าเป็น “เหตุการณ์สำคัญ” พร้อมระบุเพิ่มเติมว่า จากหลักฐานที่รวบรวมมาจนถึงตอนนี้ การแฮ็กครั้งนี้ดูเหมือนจะดำเนินการโดยผู้ก่ออาชญากรรม Advanced Persistent Threat (APT) ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน
อดิตี ฮาร์ดิกา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า APT ได้เจาะข้อมูลจากทางไกลผ่าน Beyond Trust ผู้ให้บริการด้านซอฟท์แวร์ ซึ่งบริษัทได้รายงานการแฮกระบบเมื่อวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยค้นพบการเจาะข้อมูลครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม ล่าสุดกระทรวงการคลังสั่งปิดระบบซอฟท์แวร์ที่ถูกแฮ็กแล้ว และยังไม่ได้รับรายงานการโจมตีเพิ่มเติมในระบบอื่น ๆ ขณะนี้ เจ้าหน้าที่กำลังทำงานร่วมกับเอฟบีไอและหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อสอบสวนถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น
ด้านนายหลิว เผิงหยู โฆษกสถานทูตจีนประจำสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ปฏิเสธการแฮ็กข้อมูลครั้งนี้ พร้อมระบุว่านี่เป็นเพียงการกล่าวหาที่รุนแรงและไม่มีมูลความจริง โดยรัฐบาลจีนมองว่าการสืบหาต้นตอของการโจมตีนั้นเป็นเรื่องยาก และหวังว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของสหรัฐฯ จะใช้ทัศนคติที่เป็นมืออาชีพและมีความรับผิดชอบ ในการสืบสวนหาความจริง โดยสรุปจากหลักฐานที่เพียงพอ แทนที่จะคาดเดาและกล่าวหาโดยไม่มีมูลความจริง นอกจากนี้ ยังกล่าวเตือนสหรัฐฯ ให้หยุดโจมตี ใส่ร้าย และเผยแพร่ข้อมูลเท็จทุกประการเกี่ยวกับการแฮ็กข้อมูลของจีน
“Salt Typhoon” กับการโจมตีทางไซเบอร์ครั้งใหญ่
การรายงานดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน หลังจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ เปิดเผยว่าบริษัทโทรคมนาคมของสหรัฐฯ แห่งที่ 9 ถูกแฮ็กข้อมูลโดยกลุ่มอาชญากรทางไซเบอร์ของจีนที่มีชื่อว่า “Salt Typhoon” ซึ่งการโจมตีดังกล่าวดำเนินมาเป็นเวลากว่า 1 ปีแล้ว โดยกลุ่มแฮกเกอร์ได้หาช่องโหว่ในเครือข่ายโทรคมนาคมของสหรัฐฯ และเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้งานชาวอเมริกันจำนวนมาก ทั้งบันทึกการสื่อสาร ข้อความ และแม้แต่เสียงสนทนาจากการพูดคุยโทรศัพท์
ทั้งนี้ Salt Typhoon ได้กำหนดเป้าหมายในการขโมยข้อมูลจากเครือข่ายบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ เช่น Verizon, AT&T, Lumen และบริษัทอื่นๆ และล่าสุด สื่อมวลชนสหรัฐฯ คาดเดาว่าบริษัทแห่งที่ 9 นี้อาจเป็น T-Mobile ซึ่งเป็นแบรนด์ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ เชื่อว่ากลุ่มเป้าหมายหลักในการโจมตีคือเจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมือง โดยเป้าหมายสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เจ ดี แวนซ์ ว่าที่รองประธานาธิบดีฯ ซึ่งเจ้าหน้าที่ยอมรับว่ากลุ่มแฮกเกอร์ยังคงอยู่ในระบบเครือข่าย และยากที่จะหาวิธีคัดกรองพวกเขาออกจากระบบ ขณะที่หลายประเทศตื่นตัวกับการเจาะข้อมูลครั้งใหญ่ และเตรียมรับมือด้านวิศวกรโทรคมนาคม อย่างไรก็ตาม สถานทูตจีนได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวและประณามการบุกรุกทางไซเบอร์นี้