เหตุขับรถพุ่งชน-กราดยิงเดือดในนิวออร์ลีนส์ ตาย 15 เชื่อเป็นฝีมือไอเอส
ซีเอ็นเอ็นรายงานเหตุคนร้ายคลั่งขับรถกระบะพุ่งชนประชาชน ก่อนที่จะก่อเหตุกราดยิงในย่านเฟรนช์ ควอเตอร์ เมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา ของสหรัฐฯ เมื่อคืนนี้ (1 ม.ค. 68) เวลาประมาณ 03.15 น. ตามเวลาท้องถิ่น ขณะที่ผู้คนกำลังแยกย้ายกลับบ้าน หลังเสร็จสิ้นงานนับถอยหลังสู่ปีใหม่ที่ถนนคาร์นาล และถนนเบอร์บอน ซึ่งเป็นย่านท่องเที่ยวของเมืองที่มีคนพลุกพล่าน ล่าสุดมีรายงานเหยื่อผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 15 ราย บาดเจ็บอีกนับ 35 คน ในจำนวนนี้มีทั้งชาวอเมริกัน ชาวอิสราเอล และชาวเม็กซิกัน
คอนเทนต์แนะนำ
หลังเกิดเหตุคนร้ายพยายามขับรถกระบะคันดังกล่าวหลบหนี แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจขับรถไล่ตามอย่างดุเดือดและสามารถสกัดจับได้ โดยเกิดการยิงโต้ตอบกันระหว่างชายผู้ก่อนเหตุและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนที่คนร้ายจะถูกวิสามัญเสียชีวิต ล่าสุด ผู้ว่าการรัฐลุยเซียนา ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ด้านการสืบสวนและการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่
นายเมอร์ริค การ์แลนด์ รัฐมนตรียุติธรรมสหรัฐฯ กล่าวว่า เอฟบีไอกำลังสืบสวนเหตุการณ์นี้ในฐานะที่เป็นเหตุก่อการร้าย เบื้องต้นทราบตัวผู้ก่อเหตุชื่อ นายชามซุด-ดิน จับบาร์ เกิดและเติบโตในเมืองโบมอนต์ รัฐเท็กซัส ของสหรัฐฯ เขาเป็นอดีตทหารกองทัพบกสหรัฐฯ วัย 42 ปี และเคยประจำการในอัฟกานิสถาน นอกจากนี้ เอฟบีไอยังแถลงว่าการก่อเหตุอุกอาจนี้ มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มรัฐอิสลาม เนื่องจากเจ้าหน้าที่พบระเบิดแสวงเครื่องและธง ISIS ภายในรถบรรทุกที่เขาใช้ก่อเหตุ
ขณะนี้ เจ้าหน้าที่เอฟบีอยู่ระหว่างการสืบสวนหาแรงจูงในการก่อนเหตุ โดยมีการขออนุมัติจากรัฐบาลกลางเพื่อเข้าค้นบ้านแห่งหนึ่งในเมืองฮูสตัน ซึ่งอาจมีความเชื่อมโยงกับผู้ก่อเหตุ รวมถึงการสอบเข้มกับครอบครัวและผู้ที่รู้จักกับนายชามซุด-ดิน จับบาร์ ซึ่งเอฟบีไอคาดว่าจะแถลงข้อมูลอย่างเป็นทางการทั้งหมดได้ในวันพฤหัสบดีนี้
ด้านประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ แถลงว่า ไม่อยากให้มีการด่วนสรุปข้อมูลต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปก่อน พร้อมแสดงความเสียใจไปยังครอบครัวของเหยื่อผู้เสียชีวิต และระบุว่า รัฐบาลจะสนับสนุนเจ้าหน้าที่ในการสืบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นสำหรับการตอบสนองต่อเหตุร้ายอย่างกล้าหาญและรวดเร็ว
ขณะที่ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ในโซเชียลมีเดีย ระบุว่า อัตราการเสียชีวิตจากเหตุอาชญากรรมในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พร้อมส่งกำลังใจให้ครอบครัวของเหยื่อที่บาดเจ็บและเสียชีวิต
