สำนักข่าวกลาง KCNA ของรัฐบาลเกาหลีเหนือได้เผยแพร่ภาพ คิม จองอึน ผู้นำแห่งเกาหลีเหนือ ขณะลงพื้นที่ตรวจสอบฐานการผลิตวัสดุนิวเคลียร์และสถาบันอาวุธนิวเคลียร์ของประเทศ พร้อมรายงานว่า ภาพดังกล่าวเป็นการเยี่ยมชมโรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียมของผู้นำสูงสุด เนื่องจากสภาพแวดล้อมภายนอกที่เกาหลีเหนือกำลังเผชิญยังคงรุนแรง และความท้าทายทางทหารที่เกิดจาก “กองกำลังศัตรู” กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งสำนักข่าวต่างประเทศเชื่อว่า กองกำลังศัตรูดังกล่าวหมายถึงกองทัพสหรัฐฯ และพันธมิตรอย่างเกาหลีใต้และญี่ปุ่น
ขณะเยี่ยมชมโรงงานดังกล่าว คิม จองอึนได้กล่าวเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเสริมเกราะป้องกันนิวเคลียร์ ระบุว่า การเสริมความแข็งแกร่งให้กับโล่ป้องกันนิวเคลียร์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งรับรองอำนาจอธิปไตยของชาติ ผลประโยชน์ และสิทธิในการพัฒนาได้อย่างน่าเชื่อถือ ถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง การเผชิญหน้าในระยะยาวกับประเทศที่ไม่มั่นคงและเป็นศัตรูอย่างแยบยลที่สุดในโลก เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ทั้งนี้ สื่อเกาหลีเหนือไม่ได้รายงานว่าโรงงานดังกล่าวตั้งอยู่ที่ใด แต่หน่วยข่าวกรองของเกาหลีใต้และสหรัฐฯ เชื่อว่า เกาหลีเหนือมีโรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียมที่ศูนย์นิวเคลียร์คังซอนใกล้กับกรุงเปียงยางและที่โรงงานนิวเคลียร์ยองบยอน ซึ่งก่อนหน้านี้ เกาหลีเหนือได้เผยแพร่ภาพการเยี่ยมชมโรงงานผลิตอาวุธนิวเคลียร์ครั้งแรกในเดือนกันยายนปีที่แล้ว ท่ามกลางเครื่องหมุนเหวี่ยงเพื่อเสริมสมรรถนะยูเรเนียมนับพันเครื่อง
หลังจากที่เกาหลีเหนือเผยแพร่ข่าวการเยี่ยมชมโรงงานฯ ของผู้นำคิม จองอึน ซึ่งดูเหมือนเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อเน้นย้ำถึงศักยภาพทางทหารของประเทศ ทางฝั่งทำเนียบขาวของสหรัฐฯ ก็ได้ออกมาตอบโต้ท่าทีดังกล่าวอย่างดุเดือด โดยสำนักข่าวยอนฮัพของเกาหลีใต้ รายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ จะดำเนินการ "ปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างสมบูรณ์ในเกาหลีเหนือ"
ไบรอัน ฮิวจ์ส โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติ แถลงกับสื่อมวลชนระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์จะดำเนินการปลดอาวุธนิวเคลียร์เกาหลีเหนือให้สิ้นซาก เหมือนอย่างที่เขาเคยทำเมื่อดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในวาระแรก ซึ่งตอนนั้นประธานาธิบดีทรัมป์มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคิม จองอึน และความแข็งแกร่งและการทูตของเขา ทำให้เกิดคำมั่นสัญญาในระดับผู้นำครั้งแรกในการปลดอาวุธนิวเคลียร์โดยสมบูรณ์
ฮิวจ์ดูเหมือนจะกำลังอ้างถึงข้อตกลงระหว่างทรัมป์และคิมระหว่างการประชุมสุดยอดครั้งแรกในสิงคโปร์เมื่อปี 2018 ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะเดินหน้าเพื่อ "ปลดอาวุธนิวเคลียร์โดยสมบูรณ์" บนคาบสมุทรเกาหลี และสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีใหม่
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทรัมป์เรียกเกาหลีเหนือว่าเป็น “มหาอำนาจนิวเคลียร์” ซึ่งเป็นคำที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ มักหลีกเลี่ยงที่จะใช้ เพราะถือได้ว่าสหรัฐฯ ให้การยอมรับอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ แต่นอกจากทรัมป์จะใช้คำนี้อย่างเปิดเผยแล้ว รัฐมนตรีกลาโหม พีท เฮกเซธ ยังได้เรียกเกาหลีเหนือว่าเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์ในระหว่างการไต่สวนเพื่อแต่งตั้งเขาขึ้นสู่ตำแหน่งด้วยเช่นกัน