ก่อนจะเดินเข้าสู่ทำเนียบขาว คาดว่าประธานาธิบดีโวโลดีเมียร์ เซเลนสกี คงอยากจะกลับบ้านพร้อมกับผลการเจรจาอันประสบความสำเร็จกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ และการลงนามข้อตกลงด้านแร่ธาตุที่ทำให้สหรัฐฯ มีส่วนได้ส่วนเสียในอนาคตของยูเครน จะลุล่วงไปได้ด้วยดี แม้จะไม่มีหลักประกันด้านความมั่นคงโดยตรงให้กับยูเครนก็ตาม
แต่แทนที่จะได้รับการสนับสนุน เซเลนสกีกลับต้องเผชิญกับการถูกตำหนิอย่างรุนแรงต่อหน้าสื่อมวลชนทั่วโลก เมื่อทรัมป์และรองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ เรียกร้องให้เขาแสดงการตอบแทนต่อความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ในที่สุด เซเลนสกีถูกขอให้ออกจากทำเนียบขาวก่อนกำหนด ก่อนที่ทรัมป์และแวนซ์จะขึ้นเวทีแถลงข่าวร่วมกัน
ขณะที่ข้อตกลงแร่ธาตุที่ทั้งสองฝ่ายเคยพูดถึงและชื่นชมกันมาตลอดสัปดาห์กลับไม่ได้รับการลงนาม โดยทรัมป์โพสต์บนโซเชียลมีเดียว่า "กลับมาเมื่อคุณพร้อมสำหรับสันติภาพ" ไม่นานก่อนที่ขบวนรถของเซเลนสกีจะออกจากทำเนียบขาว
การประชุมครั้งนี้เต็มไปด้วยช่วงเวลาตึงเครียด นี่คือ 4 ประเด็นร้อนแรงที่สุดที่สะท้อนถึงการเมืองและอารมณ์ตึงเครียดที่อยู่เบื้องหลัง
แม้ว่าการเจรจาในช่วงครึ่งชั่วโมงแรกจะเต็มไปด้วยบรรยากาศที่เป็นมิตรและเป็นทางการ แต่ความตึงเครียดก็เริ่มเด่นชัดขึ้นในห้องทำงานรูปไข่ เมื่อรองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ กล่าวว่า หนทางสู่สันติภาพและความมั่งคั่งอาจอยู่ที่ การมีส่วนร่วมทางการทูต และนั่นคือสิ่งที่ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังทำ
แต่เซเลนสกีสวนไม่เห็นด้วยทันที โดยอ้างถึงความก้าวร้าวของรัสเซียตลอดหลายปี ก่อนการบุกโจมตีอย่างเต็มรูปแบบเมื่อสามปีก่อน รวมถึงความล้มเหลวของข้อตกลงหยุดยิงในปี 2019 และเซเลนสกีพูดถึงประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียว่า ไม่มีใครหยุดปูตินได้เลย ก่อนตั้งคำถามกับแวนซ์ว่า การทูตแบบไหน คุณหมายถึงอะไร
บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นหลังจากนั้น เมื่อแวนซ์ตอบกลับว่า การทูตแบบที่จะยุติการทำลายล้างประเทศของคุณ โดยแวนซ์กล่าวหาเซเลนสกีว่า ไม่มีความเคารพให้กัน และพยายามจุดประเด็นให้เป็นเรื่องเป็นราวต่อหน้าสื่อมวลชนอเมริกัน
การปะทะคารมกันนี้เริ่มต้นจากตรงนี้ ตรงที่แวนซ์พยายามปกป้องแนวทางของทรัมป์ในการยุติสงคราม โดยจะเน้นไปที่การเปิดช่องทางสื่อสารกับปูตินและผลักดันให้เกิดการหยุดยิงโดยเร็ว ซึ่งเป็นจุดที่สร้างความไม่พอใจให้กับผู้นำยูเครน
หลังจากที่รองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ ตั้งคำถามเกี่ยวกับปัญหาของยูเครนในด้านกองทัพและการเกณฑ์ทหาร เซเลนสกีตอบกลับว่า ในช่วงสงคราม ทุกประเทศล้วนมีปัญหา แม้แต่พวกคุณก็เช่นกัน แต่คุณมีมหาสมุทรที่สวยงามและตอนนี้ยังไม่รู้สึกถึงมัน แต่ในอนาคตคุณจะรู้สึกแน่นอน
คำพูดนี้สร้างความไม่พอใจให้กับโดนัลด์ ทรัมป์ และทำให้เขาเข้ามามีบทบาทในการเผชิญหน้าครั้งนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้เหมือนความตึงเครียดจำกัดอยู่แค่เซเลนสกีและแวนซ์เท่านั้น
ข้อความของเซเลนสกีอาจจะจี้ใจดำของทรัมป์ในการรับมือกับรัสเซีย ซึ่งนักวิจารณ์มองว่าเป็นความผิดพลาดเชิงกลยุทธ์ โดยการยุติการโดดเดี่ยวรัสเซียและเร่งผลักดันให้เกิดการหยุดยิงอย่างรวดเร็ว อาจส่งผลให้ปูตินยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ทำให้ยุโรปอ่อนแอลง และเปิดโอกาสให้ยูเครนตกอยู่ในอันตรายมากยิ่งขึ้น
ในช่วงหนึ่งของการสนทนา เซเลนสกีกล่าวว่า ตั้งแต่ต้นสงคราม เราอยู่เพียงลำพัง และเรารู้สึกขอบคุณ คำพูดนี้ทำให้โดนัลด์ ทรัมป์ไม่พอใจทันที เนื่องจากเขามองว่าสงครามในยูเครนเป็นภาระทางการเงินของผู้เสียภาษีชาวอเมริกัน ทรัมป์ตอบโต้ว่า คุณไม่เคยอยู่เพียงลำพัง เราให้คุณ ผ่านทางประธานาธิบดีที่งี่เง่าเป็นเงิน 350,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นการพาดพิงอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน
หลังจากนั้นแวนซ์เสริมทันที โดยถามว่า เซเลนสกีได้กล่าวขอบคุณสหรัฐฯ ระหว่างการประชุมหรือไม่ พร้อมกล่าวหาว่า เซเลนสกีช่วยหาเสียงให้ฝ่ายค้าน" ซึ่งหมายถึงพรรคเดโมแครต ที่พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้ว
แวนซ์อ้างถึงการเยือนโรงงานผลิตอาวุธในเมืองสแครนตัน รัฐเพนซิลเวเนีย ของเซเลนสกี ซึ่งเกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้งกลางเทอมในเดือนพฤศจิกายน การเยือนครั้งนั้นทำให้พรรครีพับลิกันไม่พอใจอย่างมาก โดยกล่าวหาว่า เซเลนสกีใช้เวทีดังกล่าวเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อช่วยหาเสียงให้กมลา แฮร์ริส
เซเลนสกีพูดต่อว่า ได้โปรด คุณคิดว่า ถ้าคุณพูดเสียงดังมากเกี่ยวกับสงคราม... แต่ยังพูดไม่ทันจบ ทรัมป์ก็ขัดขึ้นทันทีว่า เขาไม่ได้พูดเสียงดัง ประเทศของคุณกำลังมีปัญหาใหญ่ และคุณไม่ได้กำลังชนะ คุณไม่ได้ชนะมันเลย คุณน่ะถือว่าโชคดีที่ทุกอย่างมันยังออกมาโอเคก็เพราะพวกเรา
ทรัมป์กล่าวต่อว่า เป็นเรื่องยากมากที่จะต้องมาคุยงานกันเช่นนี้ เพราะมันจะเป็ยข้อตกลงที่ยากมากที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากทัศนคติจำเป็นต้องถูกเปลี่ยน ทั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตำหนิท่าทีของเซเลนสกีอย่างรุนแรง โดยเฉพาะสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็น "ทัศนคติที่ไม่เหมาะสม" ของผู้นำยูเครน
แวนซ์กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า แค่พูดว่าขอบคุณก็พอ
แต่เซเลนสกีเลือกที่จะโต้กลับ เขายังคงยืนกรานในข้อเท็จจริงและพยายามปกป้องจุดยืนของตนเอง แม้ว่าคู่สนทนาจะเป็นสองผู้นำที่ทรงอิทธิพลกว่ามากก็ตาม
แต่ขณะที่การโต้วาทีในห้องประชุมดำเนินไป กล้องถ่ายทอดสดไม่ได้จับภาพอีกมุมหนึ่ง แต่ตรงนั้น เอกอัครราชทูตยูเครนประจำสหรัฐฯ กุมศีรษะด้วยความกังวล เมื่อการเผชิญหน้าระหว่างผู้นำทั้งสองฝ่ายทวีความรุนแรงขึ้น
ภาพนี้สะท้อนถึงสถานการณ์ทางการทูตของเซเลนสกีและความสัมพันธ์ของเขากับมหาอำนาจที่เป็นผู้สนับสนุนหลักในการต่อต้านรัสเซียมาตลอดและการยืนหยัดเผชิญหน้ากับทรัมป์เช่นนี้ อาจหมายถึงการที่ยูเครนอาจต้องพ่ายแพ้ให้รัสเซียในท้ายที่สุด