ท่ามกลางคนหลากหลายเชื้อชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย คนเมียนมายังครองสัดส่วนส่วนใหญ่ อ้างอิงจากข้อมูลสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2568 จากคนต่างชาติที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในราชอาณาจักรไทยทั่วประเทศราว 3.3 ล้านคน มีชาวเมียนมาอยู่มากกว่า 1.3 ล้านคน คือกว่าร้อยละ 40 ของจำนวนคนต่างชาติที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในไทย
อย่างไรก็ตาม มีการประมาณตัวเลขชาวเมียนมาที่อาศัยอยู่ในไทย ทั้งถูกและผิดกฎหมายมากกว่านั้นเมื่อดือนกันยายน 2567 พริษฐ์ วัชรสิทธุ สส. พรรคประชาชนเผยว่า มีคนงานชาวเมียนมาอยู่ในไทยถึง 6 ล้านคน จุดมุ่งหมายของบทความฉบับนี้ไม่ใช่การถกเรื่องจำนวนคนเมียนมาในไทย หรือนโยบายแรงงานข้ามชาติ-ผู้ลี้ภัยของไทย (สักเท่าไหร่) แต่ต้องการเป็นแสงส่องให้กลุ่มคนที่มีอัตลักษณ์ชายขอบซับซ้อนในกลุ่มชาวเมียนมาในไทย กล่าวคือ การเป็นคนกลุ่มน้อยด้านชาติพันธุ์ และด้านเพศวิถี
คนข้ามเพศ (transgender) คือคนกลุ่มนั้น เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าในสายธารผู้อพยพจากประเทศเมียนมามาสู้ประเทศไทย ไม่ว่าจะขับเคลื่อนด้วยสาเหตุใดให้ต้องย้ายถิ่นฐานมา คนข้ามเพศคือส่วนหนึ่งอย่างแน่นอน เญง หม่อง (Nyein Maung) นามสมมติ ชายข้ามเพศวัย 29 ปีจากย่างกุ้งคือหนึ่งในนั้น
เญง หม่อง เดินทางมาประเทศไทยหลังเหตุการณ์รัฐประหารที่เริ่มต้นในปี 2021 แม้เกิดมาด้วยเพศกำเนิดหญิง เขารู้ว่าตัวเองเป็นผู้ชายตั้งแต่อายุเพียง 5 ขวบ ทั้งการละเล่น การแต่งกาย และเพศที่เขาอยากจะแสดงออกล้วนเป็นแบบผู้ชายมาตั้งแต่ยังเด็ก ในขณะที่พ่อแม่ไม่มีปัญหากับการแสดงออกของ เญง หม่อง เพราะตามใจลูกคนเล็ก พี่ๆ คือคนที่มอบความกดดันในวัยเด็กด้วยการเปรียบเทียบเขากับเด็กเพศกำเนิดหญิงคนอื่นในวัยไล่เลี่ยกัน
การอยู่ภายใต้เสื้อผ้าที่ร้องบอกเพศที่ไม่ใช่ของเขาคือความลำบากใจของเญง หม่อง เขารู้สึกเป็นอิสระในชุดเสื้อผ้าของเด็กผู้ชายได้แค่ถึงชั้นประถมที่กฎเครื่องแบบไม่เคร่งนัก และต้องใส่เครื่องแบบผู้หญิงมาตลอด ตั้งแต่วัยมัธยมถึงวัยทำงาน
“พอถึงเวลาที่เราต้องแต่งตัวตามกฎระเบียบเรื่องเครื่องแบบ เป็นผู้ชายใส่แบบผู้ชาย เป็นผู้หญิงใส่แบบผู้หญิง มันสับสนมาก สำหรับเญง หม่อง เป็นเรื่องท้าทายสำหรับหม่องที่เขาต้องใส่เครื่องแบบผู้หญิง แต่งตามเพศกำเนิด เขาเป็นชายข้ามเพศ แล้วเขาก็ใส่เสื้อผ้าผู้ชายมาตั้งแต่ 5 ขวบ เขาเลยรู้สึกแปลกมาก” ซอ ซิน หม่อง โซ (Saw Zin Maung Soe) จากกลุ่ม Myanmar LGBTIQ+ Human Rights Watch ผู้ช่วยเป็นล่ามพม่า-อังกฤษแปลสิ่งที่เญง หม่องพูด
การบังคับใส่เครื่องแบบเพศกำเนิดเป็นเรื่องปกติทั่วไปในที่ทำงาน หม่อง โซ กล่าวว่า แม้คนหลากหลายทางเพศและคนข้ามเพศมีอยู่จำนวนไม่น้อยในกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐทุกระดับ แต่การแสดงออกนั้นเป็นไปไม่ได้ ในขณะที่ภาคเอกชนส่วนใหญ่ แม้แต่งานสายแฟชั่นที่เญง หม่องสนใจ ก็มักมีกฎเรื่องเครื่องแต่งกายตามเพศกำเนิดไม่ต่างจากภาครัฐ ข้อยกเว้นนั้นมีอยู่บ้างในงานบางประเภท แต่ก็แลกมาด้วยการถูกเอาเปรียบจากความเป็นคนข้ามเพศ
“สำหรับภาคเอกชน งานใช้แรงงานหรืองานโรงงาน ชายข้ามเพศใส่ชุดผู้ชายได้ ก็คงเหมือนกับประเทศไทย และบางพื้นที่ในอินเดีย ที่ค่าจ้างของผู้หญิงและผู้ชายต่างกัน ถึงแม้ว่าเรากำลังพยายามต่อสู้เพื่อค่าจ้างที่เท่าเทียมอยู่ อย่างไรก็ตามเขาสังเกตว่า หน้าที่ที่ได้รับเป็นแบบผู้ชาย แต่เงินเดือนกลับได้แบบผู้หญิง” ล่ามแปล
เมียนมาก็ไม่ต่างกับประเทศส่วนใหญ่ในโลกที่ยังมีช่องว่างในค่าแรงระหว่างหญิงชายต่างกัน ผลการสำรวจของ Journal of Asian Economics ปี 2017 ชี้ว่า ค่าจ้างของผู้หญิงในเมียนมาน้อยกว่าค่าจ้างผู้ชายเฉลี่ยร้อยละ 29 แต่สำหรับคนข้ามเพศ ความไม่เป็นธรรมนั้นอาจไม่ได้เกิดขึ้นเลย เพราะอาจไม่ได้เข้าทำงานตั้งแต่ต้น
“ชายข้ามเพศมีโอกาสน้อยมากๆ ที่จะถูกจ้างงาน พวกเขาส่วนใหญ่เลยหันมาทำธุรกิจส่วนตัวมากกว่า เญง หม่อง บอกว่า นี่คือบทเรียนจากการเป็นชายข้ามเพศ เพราะไม่มีใครจะจ้างคุณ คุณต้องพึ่งตัวเองให้ได้” ซอ ซิน หม่อง โซ แปลต่อ
ปัญหาการถูกปฏิเสธเข้าทำงานของคนข้ามเพศเมียนมา เป็นส่วนหนึ่งของการเลือกปฏิบัติในที่ทำงานที่คนข้ามเพศทั่วโลกเผชิญ ตามผลสำรวจของ World Bank ในปี 2018 ร้อยละ 77 ของคนข้ามเพศถูกปฏิเสธการรับเข้าทำงานด้วยสาเหตุเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศ
นอกจากครอบครัว โรงเรียน สถานที่ทำงาน ก็ยังมีสถานการณ์อื่นๆ ที่กระตุ้นการเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศและคนข้ามเพศอีกด้วย เหตุการณ์สำคัญหนึ่งในเมียนมาช่วงปีหลังที่ผ่านมาคือ สงครามกลางเมือง และการปกครองภายใต้รัฐบาลทหาร
ตั้งแต่รัฐบาลทหารเมียนมายึดอำนาจเมื่อ 3 ปีก่อน ความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นกับชีวิตประชาชนทั่วประเทศ เญง หม่องพลิกบทบาทจากการเป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อคนหลากหลายทางเพศ เป็นทหารในกองกำลังพิทักษ์ประชาชน หรือ People’s Defense Force (PDF) สองนักกิจกรรมชี้ให้เราเห็นมุมมองจากชีวิตคนข้ามเพศที่เปลี่ยนไป หนึ่งในนั้นคือความกังวลของหญิงข้ามเพศต่อนโยบายเกณฑ์ทหารที่มีผลต่อพลเมืองชาวเมียนมา
“สำหรับผู้หญิงข้ามเพศมันน่ากลัวมาก เพื่อนหญิงข้ามเพศของเราบอกว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นหญิงข้ามเพศหรือไม่ พวกเขาก็จะเกณฑ์คุณไปในฐานะทหารชายอยู่ดี เขาจะตัดผมคุณและเปลี่ยนเสื้อผ้าตามเพศกำเนิดด้วย แต่สามารถจ่ายเงิน 6 ล้านจ๊าดได้เพื่อหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร แต่มันก็ต่างกันไปในแต่ละรัฐนะ อาจมากหรือน้อยกว่า” ซอ ซิน หม่อง โซกล่าว
ซอ ซิน หม่อง โซ กล่าวเสริมว่า กลับกันการคนข้ามเพศสามารถแต่งกายตามเพศของตนได้ในกองกำลังพิทักษ์ประชาชน เนื่องจาก PDF มีความอ่อนไหวกับประเด็นด้านเพศมากกว่า แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด
แม้ เญง หม่อง สามารถแต่งกายแบบผู้ชายได้อย่างอิสระใน PDF แต่เพราะกองกำลังการต่อสู้มีรูปแบบกองกำลังทหาร มีกฎระเบียนเคร่งครัดที่สมาชิกต้องฏิบัติตาม หากความหละหลวมในการปฏิบัติหน้าที่มาจากกลุ่มคนเพศหลากหลายก็จะสังเกตเห็นง่ายเป็นพิเศษ ความเป็นกลุ่มน้อยที่แตกต่างก็ทำให้ปัญหาส่วนบุคคลนำไปสู่อคติทางเพศสำหรับคนกลุ่มใหญ่
“เรามีน้อย เวลาทำอะไรผิดมันก็ถูกเห็นได้ง่าย” เญง หม่องกล่าว เล่าถึงตอนที่เลสเบียนคนหนึ่งทำผิดกฎกองทัพ ทำให้ในช่วงนั้น กลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศถูกเหมารวมว่าหละหลวมระเบียบวินัย
นอกจากนี้ ชายข้ามเพศอย่าง เญง หม่อง ก็จะถูกตั้งคำถามกับความสัมพันธ์กับคนรอบตัว แม้เสื้อผ้าจะเป็นชาย หลายครั้งชายข้ามเพศก็ใช้เวลาในการทำกิจวัตรต่างๆ เช่น การนอนกับทหารหญิง เมื่อใกล้ชิดสนิทสนมกับทหารหญิงมากเกินไป ก็ทำให้เกิดความอิจฉาในหมู่ทหารชาย เกิดการขู่ทำร้าย แม้แต่จากทหารรักษาความปลอดภัย ที่ควรจะต้องดูแลความปลอดภัยของพวกเขาเอง คนที่มีความหลากหลายทางเพศกลุ่มอื่น ก็อาจได้รับการเลือกปฏิบัติแบบอื่นอีก เช่น การถูกเอาเปรียบทางเพศ และการทำร้ายร่างกายต่อกลุ่มชายรักชาย ที่เญง หม่องไม่ได้ลงรายละเอียด แต่ทำให้มีการแยกคนออกเป็นกลุ่มๆ เช่น ชายตรงเพศ หญิงตรงเพศ ชายรักชาย เด็ก และกลุ่มอื่นๆ
หลังต่อสู้ในกองทัพพักหนึ่ง เญง หม่อง อพยพมาประเทศไทยผ่านอำเภอแม่สอดทางตอนเหนือของจังหวัดตาก เญง หม่องและซอ ซิน หม่อง โซเล่าว่า ชาวเมียนมาที่อพยพเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทย แม้ส่วนใหญ่จะมุ่งหน้ามากรุงเทพ แต่หลายคนก็ปักหลักอยู่บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา เนื่องจากการเดินทางกลับเมียนมาง่ายกว่า
“คนเมียนมาที่อยู่แถวแม่สอด ยอมรับคนที่มีความหลากหลายทางเพศน้อยยิ่งกว่าคนเมียนมาในเมียนมาอีก” เญง หม่องกล่าวผ่านล่าม
เญง หม่องกล่าวว่า สังคมคนเมียนมาในไทย โดยเฉพาะบนพื่้นที่ขอบประเทศมีความเข้าใจเรื่องเพศหลากหลายน้อยมาก แม้แต่ในกลุ่มคนที่ผ่านการอบรมมาแล้วก็ตาม สองนักกิจกรรมชี้ว่า การทำกิจกรรมเรื่องความหลากหลายทางเพศที่แม่สอดจึงเป็นเรื่องยากมาก และมองว่า คงเป็นผลจากความเชื่อทางศาสนา และบรรทัดฐานสังคมแบบดั้งเดิม ซึ่งมุมมองด้านเพศแบบศาสนาพุทธนี่เองที่มองหญิงข้ามเพศและชายข้ามเพศแตกต่างกัน
รายงาน เมื่อสตรีนิยมพบพระพุทธศาสนา โดย พระมหาสมบูรณ์ วุฑฺฒิกโร เป็นรายงานที่ยกตัวอย่างความเชื่อแบบพุทธศาสนาซึ่งยกย่องระบบชายเป็นใหญ่ และมองว่า เพศหญิงมีสถานะต่ำกว่าเพศชาย แนวคิดนี้ไม่ได้ปรากฎแค่ในพุทธศาสนาแบบไทย แต่ในเมียนมาด้วยเช่นกัน ซอ ซิน หม่อง โซอธิบายว่า เหมือนเพศต่างๆ ถูกจัดลำดับขั้น มีชายอยู่บน และหญิงอยู่ล่าง การที่คนเพศกำเนิดชายแสดงออกอย่างเพศหญิง หรือหญิงข้ามเพศจึงถือว่าเป็นการลดคุณค่าตัวเอง และสำหรับชายข้ามเพศ ก็กลับกัน
“การเป็นชายข้ามเพศต่างกับกาาเป็นหญิงข้ามเพศ สำหรับชายข้ามเพศ คนจะชื่นชมพวกเขา แบบว่า ‘โอ้ นี่เริ่มกลายเป็นผู้ชายแล้ว’ ชื่นชมจากมุมมองศาสนา แต่ถ้าเป็นหญิงข้ามเพศ เขาจะมองว่าเป็นการลดระดับจากชายเป็นหญิง” เญง หม่อง อธิบาย
แซนดี้ (นามสมมติ) เป็นคนข้ามเพศชาวเมียนมาอีกคนที่พบบ้านใหม่ในประเทศไทย แซนดี้ย้ายมาประเทศไทยเมื่อ 8 ปีก่อน ขณะนี้เธอมีอายุราว 30 กลางๆ สามารถพูดภาษาไทยได้ในระดับเริ่มต้น การให้สัมภาษณ์โดยไม่ใช้ล่ามจึงได้ข้อมูลมาค่อนข้างจำกัด และผู้เขียนจะขอเผยแพร่ข้อมูลที่ถามจนแน่ใจแล้วเท่านั้น
ตามคำบอกเลาของแซนดี้ เธอทำงานเป็นลูกจ้างในร้านเสริมสวยร้านหนึ่งที่มีเจ้าของเป็นคนไทย เนื่องจากที่ตั้งร้านอยู่ในชุมชนชาวเมียนมาขนาดใหญ่ในเขตปริมณฑล ร้านทำผมร้านนี้จึงสามารถเจาะกลุ่มลูกค้าชาวเมียนมาโดยเฉพาะ หากมีลูกค้าคนไทยเลื่อนประตูเข้ามา ก็คงจะพบกำแพงภาษาก่อนเตียงสระผม สะท้อนเส้นแบ่งของคนสองชาติในสังคมแห่งนี้ที่มีอยู่ชัดเจน
แซนดี้เล่าว่า เธอแสดงออกว่าอัตลักษณ์ของเธอคือ เพศหญิง ตั้งแต่สมัยอยู่ที่เมียนมา และในฐานะคนที่เกิดมาด้วยเพศกำเนิดชาย เธอได้รับการเลือกปฏิบัติมาตลอด เธอกับมายา (นามสมมติ) เพื่อนหญิงข้ามเพศที่ทำงานในร้านเสริมสวยใกล้เคียงกัน ยืนยันกับเราว่า ในประเทศไทย พวกเธอได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่ามากในฐานะหญิงข้ามเพศ
“อยู่ไทยดีกว่า คนไทยยอมรับมากกว่า คนแก่ก็รับ ที่เมียนมาคนแก่ไม่รับ คนพม่าที่ไทยก็ด่า คนไทยไม่ค่อยยุ่ง” แซนดี้เล่าเป็นภาษาไทย ผสมกับแปลจากคำเล่าของมายาที่เพิ่งอยู่ในประเทศไทยหลักเดือน และสื่อสารภาษาไทยยังไม่ได้
อ้างอิงจากรายงาน Rainbow Amid the Storm ที่กลุ่ม Myanmar LGBTIQ+ Human Rights Watch จัดทำขึ้นระหว่างเดือนกุมภาพันธุ์ปี 2021-2023 คนเพศหลากหลายในเมียนมาพบการเลือกปฏิบัติสูงที่สุดจากครอบครัวที่ร้อยละ 53 จากภาคเศรษฐกิจที่ร้อยละ 37 จากภาคบริการสุขภาพร้อยละ 36 ภาคบริหารร้อยละ 33.7 ภาคสังคมร้อยละ 33 ภาคบริการสาธารร้อยละ 31 และภาคการศึกษาร้อยละ 14 มีการคุกคามทางวาจา ความรุนแรงทางร่างกาย ความรุนแรงทางจิตใจ ความรุนแรงทางเพศ และความรุนแรงทางเศรษฐกิจ
ที่โรงเรียน มายาในฐานะหญิงข้ามเพศถูกคุกคามทั้งทางวาจาและทางกาย ส่วนมากมักจะมาจากกลุ่มผู้ชายวัยรุ่น และเกิดขึ้นในพื้นที่ไกลตัวเมือง ขณะที่เมืองใหญ่กว่าอย่าง ย่างกุ้ง และมัณฑะเลย์ มีความอดทนกับเพศหลากหลายมากกว่าเมืองเล็ก
ด้านความเป็นอยู่ในประเทศไทย คุณสมพงษ์ สระแก้ว ผ.อ.มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน หรือ Labour Protection Network (LPN) ผู้ทำงานใกล้ชิดกับแรงงานต่างชาติในไทยเล่าให้เราฟังว่า หญิงข้ามเพศในกลุ่มแรงงานชาวเมียนมาก็มีอาชีพที่พวกเธอนิยมทำ จนคุ้นเคยกันดีว่าเป็นอาชีพที่หญิงข้ามเพศครองตลาด นั่นคือการเป็นลูกจ้างในร้านเสริมสวย แซนดี้เล่าว่า บางคนไม่ชอบการทำงานในโรงงาน มีคนถูกคุกคามคามจากกลุ่มคนงานด้วยกัน อย่างไรก็ตาม โดยมากแล้วเหมือนจะเป็นความเคยชินในชุมชนเสียมากกว่า
“ส่วนใหญ่ที่เห็น หญิงข้ามเพศจะทำงานเป็นกรรมกรในร้านตัดผม ร้านแต่งหน้า และรวมถึงมีการจัดงานแต่งงาน งานวันเกิด หรืองานกินเลี้ยง เขารู้ว่าจัดยังไงให้งานมีความโอ่อ่า สวยงาม ส่วนกลุ่มชายข้ามเพศก็มีการแสงออกเรื่องความแข็งแรง เช่น การต่อยมวยและฟุตบอล ปีที่แล้วเราเคยจัดแข่งขันฟุตบอลชายข้ามเพศด้วย” คุณสมพงษ์กล่าว และเล่าต่อว่าในกลุ่มคนเพศหลากหลายในเมียนมา มีการจัดงานไพร์ดพาเหรดในเดือนมิถุนายน ซึ่งคนที่มีความหลากหลายทางเพศชาวเมียนมาหลายร้อยคนมารวมตัวฉลองด้วยกัน
หญิงข้ามเพศในชุมชนเมียนมาในประเทศไทยมักจะใช้เวลาวันอาทิตย์จัดงานฉลองต่างๆ เนื่องจากเป็นวันที่แรงงานว่างเว้นจากงานประจำ งานแต่งแบบเมียนมาในไทยนิยมจัดกันในห้องปิด หรือตึกแถว เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ แน่นอนว่า หญิงข้ามเพศรับผิดชอบรังสรรค์งานรื่นเริงเหล่านี้ขึ้นมา
ชายข้ามเพศหลายคนทำงานเหมือนชายทั่วไปคือ งานโรงงาน ไม่ว่าจะเป็นโรงงานอาหาร โรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้า และมีการรวมกลุ่มกันเล่นกีฬาต่างๆ เญง หม่องเองเล่าว่า เขาก็เข้าร่วมกลุ่มเล่นฟุตบอลด้วยเหมือนกัน กลุ่มประกอบด้วยชายข้ามเพศหลายเชื้อชาติ เญง หม่องได้พบมิตรภาพในกลุ่มฟุตบอล เจอเพื่อนชายข้ามเพศคนไทยที่เข้าใจเงื่อนไขการเป็นชายข้ามเพศชาวเมียนมา และคอยให้ความช่วยเหลือด้านต่างๆ เสมอ
“ไม่เคยถูกคนไทยทำร้าย” แซนดี้เล่า แต่กลับกันเธอเคยถูกคนเมียนมาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยทำร้าย นี่ไม่อาจตีความไปได้ว่าคนไทยยอมรับคนข้ามเพศมากว่าเสียทีเดียว เพราะโลกของคนเมียนมากับคนไทยซ้อนทับกันไม่มากนัก กำแพงภาษา วัฒนธรรม ความเป็นพลเมืองแยกคนสองกลุ่มให้ห่างกันมาก การคุกคามไม่ว่าจะทางใดจากคนไทยแน่นอนว่าย่อมเกิดต่อคนเมียนมาได้น้อยกว่า
แต่หากจะมีสิ่งที่คนที่มีความหลากหลายทางเพศชาวเมียนมาและชาวไทยเดินไปด้วยกัน นั่นคือ การเคลื่อนไหวเพื่อกลุ่มคนเพศหลากหลาย
“เรายังมีงานไพร์ดแบบกรุงเทพไม่ได้ แต่ก็มีบางกิจกรรมที่เราทำ และไทยมีพระราชบัญญัติจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล ซึ่งฉันกับองค์กรกำลังพยายามผลักดันอยู่ ฉันคิดว่ามันดี อาจจะไม่ได้ดีร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็เป็นแรงบันดาลใจที่ดีให้เรา สำหรับฉันการเปลี่ยนแปลงทางด้านนโยบายและกฎหมายเป็นรากฐานที่สำคัญ ถ้าคุณทำงานด้านความเคลื่อนไหว” ซอ ซิน หม่อง โซ ให้ความเห็น
เญง หม่อง เห็นว่า สิ่งที่ประเทศไทยก้าวหน้ามาก คือการใช้ฮอร์โมนบำบัดเพื่อการข้ามเพศโดยบุคลากรทางการแพทย์ที่เข้าถึงง่าย และทำให้คนข้ามเพศมีความเข้าใจเรื่องการใช้ฮอร์โมนมากกว่า
“คนข้ามเพศในเมียนมาใช้ฮอร์โมนด้วยตัวเอง ไม่ใช่ผ่านบุคลากรทางการแพทย์ มันเลยอันตราย และมีผลเสียกับพวกเขามาก คนข้ามเพศเมียนมามักชื่นชมคนข้ามเพศไทยว่า สวยมาก หล่อมาก และนั่นก็พราะว่าคนไทยได้รับการบริการฮอน์โมนโดยผู้เชี่ยวชาญ มันไม่ใช่แค่หญิงข้ามเพศจะใช้แค่ฮอร์โมนเพศหญิง แต่ต้องดูความสมดุลและอาจใช้ฮอร์โมนเพศชายด้วย แต่ในประเทศฉัน หญิงข้ามเพศคิดแค่ว่า พวกเขาอยากสวยเหมือนผู้หญิง ก็เลยใช้แค่ฮอร์โมนเพศหญิง ก็เลยมีผลข้างเคียงกันเยอะ” ซอ ซิน หม่อง โซ กล่าวพร้อมแปลความเห็นของเญง หม่องพร้อมกัน
นอกจากประเด็นเรื่องฮอร์โมนบำบัดสำหรับคนข้ามเพศ ซอ ซิน หม่อง โซ ยังพูดถึงประเด็นคนที่อยู่กับเชื้อ HIV ซึ่งเป็นคนอีกกลุ่มที่เผชิญการเลือกปฏิบัติมาก ทั้งในประเทศไทยและเมียนมา
“ฉันไม่ได้ขออะไรที่เป็นไปไม่ได้เลย ไม่ได้ขอสถานะพลเมือง ขอแค่คนที่อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV จะเป็นเพศหลากหลายหรือไม่ก็ตาม สามารถเข้าถึงยาต้านได้ แม้ว่าจะไม่มีบัตรประชาชน มันไม่ได้ยากเลยสำหรับรัฐบาลไทย ถ้าจะทำ” ซอ ซิน หม่อง โซ กล่าวว่า มีองค์กรมากมายในระดับนานาชาติที่พร้อมให้ความสนับสนุนยาต้านเหล่านี้ แต่ยังทำไม่ได้เพราะต้องการการอนุมัติจากรัฐบาลไทย และขอให้รัฐบาลไทยเห็นแก่สุขภาพของคนเป็นสำคัญ
“เราเรียนรู้จากการเคลื่อนไหวของไทย ขบวนการเคลื่อนไหวของไทยส่งผลต่อขบวนฝั่งเมียนมามาก เพราะไทยก้าวหน้ามาก บางอย่างยังทำที่เมียนมาไม่ได้ แต่ที่ไทยทำได้แล้ว แล้วเราก็ยังเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของขบวนการคนไทยด้วย” ซอ ซิน หม่อง โซกล่าว
ซอ ซิน หม่อง โซ ทำงานเพื่อชุมชนคนเพศหลากหลายมาตั้งแต่ปี 2007 มองขบวนการเคลื่อนไหวของคนไทย ในฐานะที่มีพื้นที่และวัฒนธรรมใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะที่เชียงใหม่ที่เขาบอกว่าวิถีชีวิตคล้ายกับเมืองมัณฑะเลย์มากกว่ากรุงเทพฯ หม่อง โซ มองขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อคนไทยผู้มีความหลากหลายทางเพศเป็นแบบอย่าง ทั้งดีและข้อผิดพลาด เพื่อปรับใช้ในเมียนมาเมื่อถึงเวลาที่สามารถทำได้ หนึ่งในสิ่งที่เขาประทับใจคือ อุตสาหกรรมบันเทิงไทยที่มีพื้นที่ส่วนหนึ่งให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศ และคนข้ามเพศ เวทีนางงาม แน่นอนคือพื้นที่หนึ่งที่โดดเด่น
ซอ ซิน หม่อง โซ ร่วมจัดการประกวด Miss International Queen Myanmar ในปี 2014 มีผู้สวมมงกุฎคือ มโย โก โก ซาน (Myo Ko Ko San) หลังจากนั้นเธอเป็นตัวแทนประเทศเมียนมาเข้าร่วมเวที Miss International Queen ในปีเดียวกัน
Miss International Queen เป็นเวทีนางงามสำหรับผู้หญิงข้ามเพศที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีที่ประเทศไทยตั้งแต่ปี 2004 ซอ ซิน หม่อง โซ บอกว่า การเป็นตัวแทนคนพม่าและเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติทำให้ มโย โก โก ซาน ได้รับการปฏิบัติที่ดีขึ้นในประเทศบ้านเกิดของเธอ จากที่เคยเป็นเหยื่อการกลั่นแกล้งและเลือกปฏิบัติก่อนหน้าได้รับตำแหน่ง ตอกย้ำความสำคัญของการมีพื้นที่ในสื่อและอุตสาหกรรมบันเทิง
“ฉันเปลี่ยนสังคมคนข้ามเพศทั้งหมดในสังคมฉันไม่ได้ แต่ฉันเปลี่ยนชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งได้ และคนข้ามเพศคนอื่นๆ ก็ได้แรงบันดาลใจและอิทธิพลจากเธอ”
แม้ประเทศไทยจะถูกมองว่า มีความก้าวหน้ามากในประเด็นเกี่ยวกับคนเพศหลากหลายและคนข้ามเพศ แต่ก็ยังมีอีกหลากหลายประเด็นที่รอการพัฒนา ยิ่งสำหรับคนข้ามเพศที่อยู่ภายใต้ความเป็นคนชายขอบหลายมิติทับซ้อน อย่างคนข้ามเพศผู้อพยพ ความซับซ้อนก็จะยิ่งมีหลากหลายมากขึ้นยิ่งไปอีก สิ่งแรกที่เราอาจทำได้คือขจัดความเป็นเขาหรือเรา และฟังเรื่องราวของพวกเขา การอยู่ร่วมกันจึงจะเป็นไปได้ด้วยความเข้าใจ