"กฤษอนงค์" ฟันคลิปเสียง 99.99999% เป็นประธาน ส.

22 ต.ค. 67

"กฤษอนงค์" ฟัน 99.99999% เป็นคลิปเสียงประธานส.ใช้อำนาจการเมืองรีดทรัพย์นักธุรกิจ ลั่นอย่าเหมารวมเป็นพวกเดียวกัน

วันนี้ (22 ต.ค.67) น.ส.กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ ประธานอำนวยการศูนย์ประสานงานส่งเสริมเครือข่าย-ออนไลน์ เปิดใจกับสื่อหลังตกเป็นประเด็นรีดทรัพย์ดิไอคอน 10 ล้านบาท ยอมรับว่า บทบาทของการทำสาธารณชน กับบทบาทส่วนตัวทางธุรกิจมันชิดกันมาก ก็เลยทับซ้ อนกัน ซึ่งถือเป็นความผิดพลาด ความประมาทของเราเอง เป็นความไว้ใจของเราเองที่ต้องเอาไปปรับปรุง

ส่วนประเด็นดักฟังระหว่างคุยกับบอสพอล ทั้งซ่อนเครื่องดักฟังในแฮร์พีท และของลับนั้น ตนบอกเหนือความคาดหมายมาก แต่ไม่ได้ตื่นเต้นในเนื้อหา เพราะเจตนาเราจะทั้งช่วยทางฝั่งผู้เสียหายและฝั่งของดิไอคอน แต่เจอแบบนี้ ก็อยากให้เป็นบทเรียนของคนที่จะช่วย พร้อมบอกวลีเด็ด “ช่วยคนไม่ได้ผิด แต่มันอาจจะผิดที่เราช่วยผิดคนมากกว่า” ตนไม่โกรธ ให้อภัย เพราะเขาอยู่ในที่ทรมาน การติดคุกไม่ใช่พื้นที่ที่ควรอยู่  เรารู้ว่าเจตนาเราพูดอะไร จึงไม่ได้รู้สึกอะไรกับสิ่งที่เขานำมาเปิดเผย เพราะตนเป็นที่ปรึกษาทั้งฝั่งผู้เสียหาย เราทำงานช่วยเหลือมา 19 ปี ไปถามดูก็ได้ไม่เคยเรียกรับเงินกับผู้เสียหายเลย สำหรับประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นมันถือเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเฉพาะตัวอย่างมาก

สำหรับประเด็นที่สังคมมองว่า ตนเองมีแต่ได้กับได้ ได้ทั้ง 2 ทางนั้นอยากให้มองในภาพรวมทำไมถึงไม่มองว่าตนเสียอะไรไปบ้าง ตนเสียสละอะไรลงไปบ้าง  หากตนไม่ได้ช่วยใครก็ไม่ต้องถูกให้ใครมาด่า ไม่ต้องมารับกระสุนแบบนี้ก็ได้ ตนอยู่ใน safe zone ของตนก็ได้ ทำดีก็ถูกด่าไม่ทำเลยจะดีกว่าไหม ตนยืนต่อสู้เรื่องนี้มานานกว่า 19 ปี บาดแผลวันนี้เยอะที่สุด หลังจากนี้ก็อาจจะมีการทบทวนบทบาทของตนเอง หากคนยังมองว่าตนทำในสิ่งไม่ถูกต้อง ซึ่งไม่ได้โทษใคร โทษตัวเองมากกว่า เราเพียงต้องการปกป้องอาชีพขายตรงของตน

ส่วนกรณีที่มีการบอกว่าตนหัก 20% ของเงินผู้เสียหายนั้น ตนได้ยืนยันชัดเจนไปแล้ว ว่าไม่เคยออกจากปากตน ขอผู้เสียหาย 20% ให้ตายก็ไม่เคยเรียก ไม่เป็นความจริง มันเป็นข้อตกลงที่ผู้เสียหายที่มาด้วยกันตกลงกันเอง ว่าจะสนับสนุนทางคนช่วยเหลือให้ได้เงินคืนอย่างไร และเงินก็โอนเข้ามูลนิธิเป็นเงินกองทุนที่ทำบุญ ซึ่งใน 89 คนที่มีการโอนเงินมาให้ 20 คน ตนคืนไป 1 คนจำนวน 2 หมื่นบาท และรอสเตทเมนต์มาชี้แจงต่อไป

1729600814748

ส่วนกรณีที่มีผู้เสียหายเขาโอนเข้ามา 30,000 บาท ตนยังไม่รู้เลย ตนช่วยเหลือทั้งกำลังใจ  ช่วยเหลือ ทุกคนมามือเปล่าแล้วได้เงินไป พร้อมฝากบอกว่า ผู้เสียหายทั้ง 89 คนคือคนในประวัติศาสตร์ ได้รับเงินคืนจากสิ่งที่ตนบาดแผลที่ได้รับในวันนี้

“คุณให้พัชเท่าไหร่พัชให้กลับคืนไปให้หมดในช่องทางต่างๆ  ซึ่ง 89 คนนี้คือคนที่ได้เงินไปก่อน แลดูคนที่แจ้งความไป 5,000 คนจะได้เงินคืนตอนไหน  เวลาผ่านไป ตนอยากช่วยทุกฝ่ายไม่ได้อยากช่วยเพียงผู้เสียหายอย่างเดียว ทั้งหมดนี้มันคือปัญหาที่ปลายเหตุ ทำไมต้องให้เลือกฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ทำไมไม่มองที่ฝั่งความถูกต้องตรงกลาง ครั้งนี้ถือเป็นบทเรียนครั้งยิ่งใหญ่ของตน การช่วยคนเป็นเรื่องที่ดี เราจะช่วยคนต่อไปอย่างไรถือเป็นเรื่องความละเอียดอ่อนที่ต้องคิดต่อไป อยากให้มองสองมุม เพราะถ้าวันนั้นตนไม่คุยกับพอลดีๆ เขาจะยอมจ่ายเงินผู้เสียหายหรือไม่ ถึงมีการอัดเทปซึ่งก็เป็นประเด็นของเขาไป ส่วนตัวตนไม่ชอบอัดเทปใครถ้าต้นไม่ชอบวิธีการแบบไหนตนก็จะไม่ทำแบบนั้น ส่วนถ้าเขาทำแบบนั้นก็จะเป็นแผลของเค้าไปตลอดชีวิต ก็เรื่องของเขาไม่ใช่เรื่องของตน ตนอโหสิกรรมให้ คงจบเวรจบกรรมกันไป เชื่อว่ากฎแห่งกรรมยุติธรรมที่สุด”

ส่วนที่คนมองว่ากิน 2 ทางนั้น ตนมองว่า ก็คิดได้ บอกว่าก็การเจรจาของต้นมาเริ่มต้นมาแบบนี้ จะให้ทำอย่างไรก็รู้จักทั้งสองฝั่ง ซึ่ง การรู้จักไม่ได้แปลว่าต้องเข้าข้างมัน คือวันนี้สังคมต้องการให้เลือกข้าง แต่ในสังคมต้องมองว่ามันมีข้างมากกว่านั้นคือข้างความถูกต้องข้างบน ต้นอยู่ตรงกลางมันก็เป็นประโยชน์สูงสุดแล้วที่อยู่ทั้งสองฝั่งในมุมนี้ เพราะตนต้องการจะแก้ปัญหาข้างบน ต้นอยากให้มันจบทั้งสองฝ่ายเพราะไม่อยากเห็นใครติดคุก

ส่วนเรื่องเงิน 6 แสน ที่บอสปันโอนมาให้ทีมงาน ตนไม่ได้รับจากมือ และตอนนั้นก็ยังไม่ได้เกิดเรื่อง ชี้แจงว่า มันเป็นเงินที่เขาจ้างเราทำงาน 2 ก้อน  ส่วนนี้ฟังแล้วไม่โอเค ไปคืนในคุกได้หรือไม่

นอกจากนี้เจ้าตัวขอโทษที่มีการเอายถึงสื่อรับเงินและประเด็นที่มีการอ้างถึงนายพลก.ว่า กราบขอโทษเพราะได้รับข้อมูลมาส่วนเดียวทำให้คลาดเคลื่อนที่ทำไปเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งเป็นความผิดของตนเอง

ส่วนประเด็นเรื่องคลิปเสียงประธานส.นักข่าวถามว่ารู้จักหรือไม่ เจ้าตัวตอบว่า รู้จัก ส่วนจะเป็นเสียงประธานส. หรือไม่นั้น ทางกฤษอนงค์ พูดว่า 99.99999% พร้อมแฉต่อว่า เพราะประธานส.มีพฤติกรรมแบบนี้ทำให้เธอต้องติดชนักหลัง ก็เพราะมันเป็นแบบนี้ เพราะเขาาทำให้วงการขายตรงบอบช้ำมาก ยิ่งไปมีตำแหน่งทางการเมือง เขาใช้อำนาจทางการเมืองทำให้แต่ละบริษัทกลัวกันหมด ตอนนี้สังคมก็มองตนเองและตัวของประธานส.เป็นพวกเดียวกัน ซึ่งตนไม่โอเคในเรื่องนี้ ส่วนตัวไม่อยากบอกอะไรแต่อยากให้แยกให้ออกว่าเขากับตนเองนั้นเป็นคนละคน แม้ว่าจะเคยร่วมงานการเมืองในอดีต และตนได้แต่งตั้งให้ประธานส.เป็นประธานองค์การต่อต้านแชร์ลูกโซ่ช่วงทำคดียูฟัน เพราะตนติดกฎอัยการศึก ไม่สามารถลงเองได้ ตนเลยตั้งองค์การขึ้นมาให้นายส.เป็นประธาน เราอยู่ข้างหลัง แต่หลังจากนั้นเป็นแนวทางที่ขัดแย้งกันมาก จนกระทั่งนายส.เปลี่ยนชื่อเพจจากองค์การต่อต้านแชร์ลูกโซ่ไปเป็นเพจอื่น เลยไม่ได้คุยกันเป็น 10 ปี ไม่ใช่การแตกคอ แค่คนละนโยบายและแนวทางเพราะเขา เลือกเดินเส้นทางที่มีเรื่องของเงินทองเข้ามาเกี่ยว แต่ตนทำเพจช่วยคน ไม่เคยแขวนใคร มันก็เลยต้องชัดเจนกันไปว่าคนละทาง ส่วนตัวตนมองว่าบอสพอลโดนรีดเงินจริง ซึ่งก็มีประธานบริษัทอื่นๆ ที่โดนแล้วมาคุยกันว่าจะทำอย่างไร ส่วนตัวคนมองว่า ทุกคนมีแผล แล้วเอาน้ำกรดราดปัญหาก็เกิด ซึ่งเขามีอำนาจทางการเมือง ซึ่งทุกคนต้องต่อสู้ในบาดแผลของตัวเอง และตนพร้อมให้ข้อมูลกับตำรวจเรื่องเก่า

ส่วนประเด็นการดำเนินการ เรื่องเงิน 10 ล้านบาท ฟ้องตามสิทธิ์เพราะทำให้คนเข้าใจว่าตนตบทรัพย์ ฟ้องทนาย 1 คนในวันศุกร์นี้

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส